ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วนของโลก ภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ทั้งในแง่ของโอกาสและคำท้าทาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และการเงิน ที่ต้องปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพื่อความอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน
AI อาวุธลับ SME สู้ยักษ์ใหญ่ - ทางรอดเศรษฐกิจไทยยุคใหม่
จากข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจภาพรวมในปัจจุบัน พบว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจจะดูเหมือนทรงตัว แต่ AI ได้เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจขนาดเล็กและ Start-up อย่างมหาศาล AI ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล (Data) มหาศาล ซึ่งในอดีตเป็นสิ่งที่เฉพาะบริษัทใหญ่เท่านั้นที่ครอบครองได้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดที่เคยถูกผูกขาดโดยเจ้าใหญ่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
พชรกฤษฏิ์ ชื่นชม ประธานบริหาร บริษัท พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษ 1DigitalThailand กล่าวเริ่มต้นว่า "ปัญหาที่หลายคนมองว่าเศรษฐกิจไม่ดีนั้น แท้จริงแล้วอาจเกิดจากการที่ธุรกิจ "ไม่ได้ปรับตัว" ให้เข้ากับยุคสมัย โดยปัจจุบัน AI ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องของข้อมูล แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถก้าวไปสู่ระดับสากล (Global) ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม หากใครสามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูงมาก"
เจาะลึกวิกฤตอสังหาฯ ไทย ตลาดบนพุ่งสวนทางตลาดล่าง

สถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของกำลังซื้ออย่างชัดเจน
ข้อมูลระบุว่า กลุ่มตลาดระดับบน
(High-end)
หรือคอนโดมิเนียมราคาตั้งแต่ 40-100 ล้านบาทขึ้นไป
ยังคงมีความต้องการสูงและขายหมดอย่างรวดเร็ว
เช่น โครงการสโคป ทองหล่อ (Scope Thonglor) หรือโครงการหรูอื่นๆ
ที่มียอดจองถล่มทลายแม้โครงการยังสร้างไม่เสร็จ
ในทางกลับกัน ตลาดระดับล่าง (Low-line) หรือคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน
3-5 ล้านบาท กลับเผชิญกับภาวะชะงักงันอย่างหนัก
มีสต็อกเหลือค้างเป็นจำนวนมากเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคถดถอยและการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ทำได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสินเชื่อเพื่อการปรับปรุงและต่อเติม (Renovate) ยังคงมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะโครงการที่มีทำเลดีแต่ขาดเงินทุนในการก่อสร้าง
ซึ่งทางบริษัทฯ ได้เข้าไปช่วยสนับสนุนในรูปแบบ Project Finance จนสามารถปิดโครงการได้สำเร็จหลายแห่ง
ปฏิวัติแอปพลิเคชันการเงิน จากระบบอนุมัติอัตโนมัติ สู่ "AI ที่ปรึกษาอัจฉริยะ"
หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของ พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ในปีหน้า 2569 (2026) ในการใช้เทคโนโลยีกับการเงินและอสังหาฯ คือการพัฒนาแอปพลิเคชัน ซึ่งเดิมทีเคยถูกออกแบบมาเพื่อเป็นช่องทางขอสินเชื่อสำเร็จรูปคล้ายกับแพลตฟอร์มทั่วไป แต่ปัจจุบันบริษัทได้สั่งชะลอการพัฒนาในรูปแบบเดิม เพื่อยกระดับสู่การเป็น "AI Financial Consultant" หรือที่ปรึกษาทางการเงินส่วนตัว เหตุผลสำคัญที่ต้องปรับเปลี่ยนคือ การที่ AI แบบเดิมมักจะตัดสินการอนุมัติสินเชื่อจากข้อมูลตัวเลขที่ตายตัว ซึ่งอาจไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่มีประวัติเครดิตดีมาตลอด แต่ประสบปัญหาระยะสั้น เช่น ค่ารักษาพยาบาลสมาชิกในครอบครัว จนทำให้เสียประวัติทางการเงิน, แอปพลิเคชันรุ่นใหม่ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้จะทำงานเสมือน "นาฬิกาสุขภาพทางการเงิน" ที่คอยตรวจเช็คสภาพคล่อง (Liquidity) วิเคราะห์แนวโน้มกระแสเงินสด (Cash flow) และเตือนเมื่อระดับหนี้ (Debt) สูงเกินไป พร้อมทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา (Consult) ให้กับผู้ประกอบการได้อย่างทันท่วงที คาดว่าจะพร้อมให้บริการภายในปลายปีหน้า
นวัตกรรม VR พลิกโลกการก่อสร้าง ลดเวลาจากปีสู่ชั่วโมง
พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังได้นำเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะทีมพัฒนาจากสิงคโปร์ เข้ามาช่วยสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกการออกแบบและก่อสร้าง ในอดีตการสร้างบ้านต้องมีการสร้างบ้านตัวอย่าง ซึ่งหากไม่ถูกใจต้องทุบทิ้ง ทำให้เสียทั้งเวลาและต้นทุนมหาศาล ด้วยเทคโนโลยี VR (Virtual Reality) ผสานกับ AI ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการสามารถจำลองบ้านทั้งหลังเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริง ลูกค้าสามารถสวมแว่น VR เพื่อเดินดูพื้นที่จริง ปรับเปลี่ยนวัสดุหรือเคาน์เตอร์ได้ทันทีในระบบ และส่งข้อมูลที่ปรับแก้แล้วให้ผู้รับเหมาสร้างตามได้เป๊ะ 100% นวัตกรรมนี้ช่วยลดระยะเวลาจากการลองผิดลองถูกเป็นปีๆ ให้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้บริษัทเติบโตขึ้นมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
กลยุทธ์การเติบโต 200% เจาะกลุ่ม Listed Company และ Fund Management
พชรกฤษฏิ์ กล่าวถึงผลประกอบการของ พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ว่ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 100-200% โดยปัจจัยหลักมาจากการจับมือกับกลุ่มกองทุนและสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ บริษัทไม่ได้วางตัวเป็นเพียง Non-bank หรือธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แต่ทำหน้าที่เป็น "Fund Management" ที่เชื่อมโยงนักลงทุนกับผู้ที่ต้องการเงินทุนเข้าด้วยกัน
กลุ่มลูกค้าหลักในปัจจุบันคือบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (Listed
Company) กว่า 24 ราย ที่มาใช้บริการ Project Finance เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับโครงการขนาดใหญ่ นอกจากนี้
บริษัทยังให้บริการสินเชื่อสำหรับผู้รับเหมาหรือผู้ทำงานร่วมกับภาครัฐ
โดยใช้สัญญาจ้างงานเป็นหลักประกัน
ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตทางการเงินไปได้
การบริหารจัดการทีมระดับสากล และความร่วมมือในอนาคต
สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีเบื้องหลัง พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ได้เปลี่ยนจากการใช้ทีมงานในประเทศเพียงอย่างเดียว มาเป็นการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากสิงคโปร์และทีมงานต่างชาติ, รวมถึงมีการเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ จากที่ปรึกษาชาวต่างชาติ เช่น โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย เพื่อนำมุมมองที่แตกต่างมาปรับใช้กับระบบเว็บไซต์และแพลตฟอร์มดิจิทัลของบริษัทให้มีความเป็นสากลมากขึ้น
ในด้านการตลาด บริษัทมุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่าง
โดยต้องการให้คนจดจำในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวางโครงสร้างทางการเงิน
ไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจเงินกู้ทั่วไป พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่จะขยายบริการในส่วนของลิสซิ่ง (Leasing) เช่น การทำไฟแนนซ์รถจักรยานยนต์ให้กับกลุ่มไรเดอร์ในแพลตฟอร์มต่างๆ
เพื่อสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน
บทสรุปและทัศนะต่อไปในอนาคตของพชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้
ภายใต้การนำของผู้บริหารรุ่นใหม่ แนวคิดทันสมัยดังกล่าว พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ หากรู้จักใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือผ่อนแรง การเติบโตตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันที่มุ่งเน้นการใช้ AI และนวัตกรรมแสดงให้เห็นว่า "ความรู้ทางการเงิน" และ "การปรับตัว" คือกุญแจสำคัญ แม้ในวันที่เศรษฐกิจดูซบเซา แต่หากธุรกิจมีที่ปรึกษาที่ดีและการวางแผนที่ถูกต้อง ก็สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
"เปรียบเทียบกลยุทธ์การเงินของพัชร พร็อพเพอร์ตี้ คือ การให้บริการทางการเงินที่นี่ไม่ได้เป็นเพียง "เสื้อผ้าสำเร็จรูป" ที่ใครก็ใส่ได้ แต่เปรียบเสมือน "ร้านตัดสูทแบบ Tailor-made" ที่มีการวัดตัว ดีไซน์ และวางโครงสร้างทางการเงินให้เหมาะสมกับสรีระทางธุรกิจของลูกค้าแต่ละรายโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุนที่ได้รับไปจะถูกนำไปใช้เพื่อการเติบโตอย่างแท้จริง" พชรกฤษฏิ์ กล่าวในตอนท้าย
ข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ : พชรกฤษฏิ์ ชื่นชม ประธานบริหาร บริษัท พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้ (ธันวาคม 2567)

แอปพลิเคชันการเงิน ของ "พชรกฤษฏิ์ พร็อพเพอร์ตี้" ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเครื่องมือทางเทคโนโลยี แต่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การปรับตัวขนานใหญ่ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจยุค AI โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
1. การเปลี่ยนผ่านจากแอปฯ สินเชื่อสู่ "AI Financial Consultant"
เดิมทีบริษัทฯ เคยพัฒนาแอปพลิเคชันในรูปแบบแพลตฟอร์มขอสินเชื่อสำเร็จรูป (คล้ายกับ Line BK หรือ Money Thunder) และได้ลงทุนไปแล้วนับล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ตัดสินใจชะลอการพัฒนา เพื่อยกระดับแนวคิดใหม่ให้กลายเป็น "ที่ปรึกษาทางการเงินอัจฉริยะ" (AI Financial Consultant) ด้วยเหตุผลทางจริยธรรมและประสิทธิภาพทางธุรกิจ
ข้อจำกัดของ AI แบบเดิม : AI ในแอปฯ สินเชื่อทั่วไปมักตัดสินคนจากข้อมูลตัวเลขที่ตายตัว ซึ่งอาจไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่มีประวัติเครดิตดีมาตลอดแต่ต้องประสบปัญหาชั่วคราว เช่น มีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลฉุกเฉินจนเสียประวัติทางการเงิน
เป้าหมายใหม่ของแอปฯ : แอปพลิเคชันที่กำลังพัฒนาใหม่นี้จะทำหน้าที่เสมือน "นาฬิกาสุขภาพทางการเงิน" ที่คอยวิเคราะห์สภาพคล่อง (Liquidity) แนวโน้มกระแสเงินสด (Cash Flow) และระดับหนี้ (Debt) เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดวิกฤต
กำหนดการใช้งาน : คาดว่าแอปพลิเคชันในรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงนี้จะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมให้บริการภายในปลายปีหน้า 2569 (2026)
2. บริบทของ AI กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและธุรกิจ
ในภาพรวมเศรษฐกิจ AI ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการรายย่อย (SME/Startup) ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลมหาศาลและแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ได้ ซึ่งบริษัทฯ ได้นำแนวคิดนี้มาใช้จนทำให้ธุรกิจเติบโตพุ่งสูงถึง 100-200% ในช่วงที่ผ่านมา
การปรับตัวคือทางรอด : วิกฤตเศรษฐกิจที่หลายคนเผชิญอาจเกิดจากการที่ธุรกิจ "ไม่ได้ปรับตัว" ให้ทันโลก AI ซึ่งหากใครปรับตัวได้ก็จะสามารถก้าวไปสู่ระดับสากล (Global) ได้ง่ายขึ้น
นวัตกรรม VR และ AI ในการก่อสร้าง : นอกจากแอปฯ การเงิน บริษัทยังใช้เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) ร่วมกับ AI เพื่อจำลองการออกแบบบ้านในโลกเสมือนจริง ช่วยให้ลูกค้าปรับแก้รายละเอียดได้ทันทีโดยไม่ต้องทุบทิ้งจริง ช่วยลดเวลาการทำงานจากเป็นปีให้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง
3. การยกระดับสู่การบริหารจัดการระดับสากล
เพื่อให้แอปพลิเคชันล้ำหน้ากว่ามาตรฐานทั่วไปในไทย บริษัทฯ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์การพัฒนาจากการใช้ทีมงานในประเทศเพียงอย่างเดียว สู่การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
การร่วมทุนและทีมพัฒนา : ปัจจุบันบริษัทจับมือกับทีมพัฒนาจากสิงคโปร์ และเปิดรับแนวคิดจากที่ปรึกษาต่างชาติ เช่น โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย เพื่อนำมุมมองที่แตกต่างมาใช้ในระบบ
โมเดลธุรกิจ Fund Management : บริษัทฯ วางตำแหน่งตัวเองเป็น "Fund Management" มากกว่าธนาคารทั่วไป โดยเน้นการดีไซน์โครงสร้างทางการเงินแบบ "Tailor-made" (ตัดสูทเฉพาะบุคคล) เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย
โดยสรุปการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ คือความพยายามในการใช้ AI เพื่อปิดช่องว่างของระบบการเงินแบบเดิมที่แข็งทื่อ โดยมุ่งเน้นการเป็นที่ปรึกษาเชิงรุกเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทย (โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์) สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและเติบโตได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ