สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) เปิดเผยยุทธศาสตร์การดำเนินงานครั้งสำคัญ มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านจากการใช้ข้อมูลเพื่อการรายงานผล สู่การเป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจเชิงนโยบายและการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ระดับประเทศ โดยชูความสำเร็จจากการจัดการข้อมูลน้ำท่วมหาดใหญ่ การเตรียมความพร้อมรับมือฝุ่น PM 2.5 และการเปิดตัว "Thai LLM" โมเดลภาษาไทยพื้นฐานที่จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ AI ในไทย
ถอดบทเรียน "หาดใหญ่โมเดล" เมื่อ Big Data คือกุญแจสำคัญในการกู้ภัย
ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า "จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่ที่ผ่านมา BDI ได้มีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบข้อมูลท่ามกลางวิกฤต ผู้อำนวยการ BDI ระบุว่า ปัญหาใหญ่ที่พบคือข้อมูลจากแพลตฟอร์มภาคเอกชนและช่องทางต่างๆ มีความซ้ำซ้อนกันสูงมาก เหมือนกับช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่มีการแจ้งเหตุความช่วยเหลือผ่านทุกช่องทางพร้อมๆ กัน"
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ BDI ได้ใช้เวลาเพียง 20 ชั่วโมง ในการดึงข้อมูลจากทุกแพลตฟอร์มมาทำการประมวลผลและตรวจสอบความซ้ำซ้อน (Consolidate) เพื่อให้ทราบพิกัดที่ชัดเจนว่าจุดใดได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว และจุดใดที่ยังคงรอความช่วยเหลืออยู่ การจัดการข้อมูลที่รวดเร็วนี้ช่วยป้องกันปัญหาเจ้าหน้าที่กู้ภัยเดินทางไปซ้ำซ้อนในจุดเดิม ขณะที่บางพื้นที่กลับถูกหลงลืม ทำให้การกระจายความช่วยเหลือเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยุทธศาสตร์ "เชื่อมข้อมูลรอ" พร้อมเผชิญเหตุได้ภายใน 1 ชั่วโมง
จากบทเรียนดังกล่าว BDI ได้วางแนวทางการจัดการภัยพิบัติในอนาคต โดยเฉพาะภัยน้ำท่วม สึนามิ และแผ่นดินไหว โดยการจัดทำ Data List และขอเชื่อมโยงข้อมูลสำคัญ 100 ชุดรอไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุ
ผอ. BDI อธิบายถึงแนวคิดนี้ว่า "เราต้องการเชื่อมข้อมูลทิ้งไว้ก่อน แม้จะยังไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ทันทีที่มีการประกาศเขตฉุกเฉิน ระบบจะสามารถดึงข้อมูลมาแสดงผลได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง" เปรียบเสมือนการ "ซ้อมหนีไฟ" ของระบบข้อมูล ซึ่งควรมีการทดสอบระบบเป็นประจำปีละครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดสถานการณ์จริง ข้อมูลจะสามารถไหลเวียนและใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทุกครั้ง
นอกจากนี้ ข้อมูลที่เชื่อมโยงไว้ยังครอบคลุมไปถึงมิติด้านสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ภัยพิบัติ เช่น ข้อมูลว่าใครต้องใช้ยาประเภทใด หากมีการเชื่อมข้อมูลสุขภาพไว้ล่วงหน้า เมื่อเกิดการอพยพเจ้าหน้าที่จะทราบได้ทันทีว่าแต่ละบุคคลมีความต้องการทางการแพทย์อย่างไร ทำให้การดูแลผู้ประสบภัยมีคุณภาพมากขึ้น
นวัตกรรม "ระบบกู้ภัยออฟไลน์" และการลงพื้นที่ 4 จังหวัด
BDI กล่าวต่อว่า ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการจัดการข้อมูลในสำนักงาน แต่ได้ส่งทีมงานลงพื้นที่สำรวจใน 4 จังหวัด เพื่อศึกษารูปแบบการดีไซน์ระบบให้สามารถใช้งานได้จริงในสถานการณ์หน้างาน โจทย์สำคัญที่ BDI กำลังพัฒนาคือ "ระบบที่ทำงานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต" โดยเน้นการออกแบบให้คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวก็สามารถบริหารจัดการข้อมูลในพื้นที่ตัดขาดได้ เพื่อให้การช่วยเหลือไม่หยุดชะงักแม้ในสภาวะวิกฤตที่สุด
จาก Travel Link สู่การเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 และสิ่งแวดล้อม สำหรับแพลตฟอร์ม Travel Link (www.travellink.go.th) ซึ่งเดิมเน้นด้านการท่องเที่ยว ปัจจุบันกำลังพัฒนาไปสู่อีกสเต็ปของการเชื่อมโยงข้อมูลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะข้อมูลฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และกรุงเทพมหานคร
"BDI มุ่งเน้นการ "Platform Empowerment" หรือการสอนให้คนในพื้นที่ใช้เทคโนโลยีเป็นมากกว่าการสร้างระบบขึ้นมาทิ้งไว้ โดยงบประมาณที่คาดว่าจะใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบอยู่ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาท ซึ่งเน้นการทำงานบนระบบ Cloud และการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนเพื่อความเสถียรและความรวดเร็ว แทนการลงทุนสร้างทุกอย่างเองทั้งหมดตั้งแต่ต้น"
"Thai LLM" โครงสร้างพื้นฐาน AI เพื่อคนไทย

อีกหนึ่งโครงการเรือธงคือ Thai LLM (Thai Large Language Model) ซึ่งเป็นโมเดลภาษาไทยพื้นฐาน (Foundation Model) ที่ออกแบบมาเพื่อความเข้าใจบริบทภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง
ผอ. BDI เน้นย้ำว่า Thai LLM ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแข่งขันกับ ChatGPT โดยตรงในฐานะแชทบอททั่วไปสำหรับประชาชน แต่สร้างมาเพื่อเป็น "ทางด่วน" ให้กับนักพัฒนา (Developers) และองค์กรต่างๆ เพื่อให้นำไปต่อยอดพัฒนาเป็นบริการเฉพาะด้าน เช่น ระบบจัดซื้อจัดจ้าง หรือระบบข้อมูลประกันภัย โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ (License) สูงให้กับบริษัทต่างชาติ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตนวัตกรรม AI ในประเทศไทยได้อย่างมหาศาล
ส่วนกำหนดการและทิศทางในอนาคตของโมเดลภาษาไทยนี้ ปัจจุบัน BDI ได้เปิดให้กลุ่มนักพัฒนา เช่น โครงการ Open TH GPT ดาวน์โหลดโมเดลพื้นฐานไปใช้งานแล้ว และในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ จะมีการเปิดตัวเวอร์ชัน Demo ที่ให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาทดลอง Chat เพื่อทดสอบบริบทการตอบโต้ในเรื่องเฉพาะด้าน เช่น สุขภาพ
นอกจากนี้ BDI เตรียมจัดงานใหญ่ "Big Data Day" ในเดือนมิถุนายน เพื่อแสดงความคืบหน้าของโครงการทั้งหมดและเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลอย่างยั่งยืน การดำเนินงานของ BDI ในครั้งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ว่า "ข้อมูลคือรากฐานของความปลอดภัยและความก้าวหน้า" การเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลในวันนี้ คือหลักประกันว่าประเทศไทยจะมีระบบรับมือภัยพิบัติที่ชาญฉลาด และมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เข้มแข็งพร้อมแข่งขันในระดับสากล