11 ธ.ค. 2568 122 0

BDI เผยวิสัยทัศน์ปีหน้า 2569 หนุนรัฐและเอกชนด้วยเทคโนโลยี เดินหน้าแผนงานแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติ (D2) และ ThaiLLM

BDI เผยวิสัยทัศน์ปีหน้า 2569 หนุนรัฐและเอกชนด้วยเทคโนโลยี เดินหน้าแผนงานแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติ (D2) และ ThaiLLM


สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI เผย ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์  เดินหน้าแผนงานปี 2569 ผ่านแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติ (D2) และโครงการปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทย ThaiLLM พร้อมยกระดับภาครัฐ-เอกชนด้วยข้อมูลที่เชื่อมโยง รองรับการวิเคราะห์ที่แม่นยำ และตอบสนองสถานการณ์วิกฤตได้ทันท่วงที ตลอดจนผลักดันนวัตกรรม AI และการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม สะท้อนบทบาทของ BDI ในฐานะองค์กรกลางที่เสริมพลังภาครัฐและขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่


ศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ BDI มีภารกิจสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลระดับชาติ เพื่อสนับสนุนการทำงานของภาครัฐให้มีความทันสมัย เชื่อมโยง และตอบสนองความต้องการของประชาชนในยุคดิจิทัล การขับเคลื่อนดังกล่าว จึงมุ่งพัฒนาระบบกลางที่ช่วยให้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานสามารถเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการวางแผนนโยบาย ยกระดับบริการสาธารณะและสร้างนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI


ภายใต้แนวคิดนี้ BDI ได้ออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (ดีทู) หรือ Data Integration and Intelligence Platform (D2) ซึ่งเป็นพื้นที่กลางสำหรับการเชื่อมโยงและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตร โดยข้อมูลที่เชื่อมโยงสามารถนำไปใช้ประโยชน์จริง ทั้งในการพัฒนานโยบายแบบมุ่งเป้า การบริหารจัดการ และการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยข้อมูลและ AI อันเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ แพลตฟอร์มนี้ยังสนับสนุนให้เกิดการใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างเป็นระบบมีมาตรฐาน พร้อมยกระดับความสามารถด้านการวิเคราะห์และการตัดสินใจของภาครัฐ โดยมีแผนดำเนินงานตามลำดับ ได้แก่ การออกแบบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานในปี 2568 การเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 และการต่อขยายบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ในปี 2570





ส่วนด้านการเสริมขีดความสามารถของประเทศในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤต BDI ชูแนวคิด “Digital Wall of Resilience” ในการพัฒนากรอบสถาปัตยกรรมข้อมูลและระบบบูรณาการข้อมูลระดับชาติ เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ การเตรียมพร้อมรับมือ และการบริหารจัดการภาวะวิกฤตภายใต้หลักธรรมาภิบาลข้อมูลที่เคร่งครัด ทั้งด้านความมั่นคงปลอดภัยและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศสามารถเผชิญภัยคุกคามข้ามพรมแดนในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นภัยความมั่นคง ภัยธรรมชาติ ภัยเศรษฐกิจ หรือสงครามการค้า โดยใช้องค์ความรู้ด้านข้อมูลเป็นฐานสำคัญในการคาดการณ์ ติดตาม และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที


แนวทางนี้สะท้อนผ่านผลงานเชิงประจักษ์ในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา โดย BDI ได้บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มภาคประชาชน 13 แหล่ง เพื่อลดความซ้ำซ้อน ตรวจสอบสถานะการปิดเคส และส่งข้อมูลให้หน่วยงานภาคีได้ทันที ทำให้ทุกหน่วยงานเห็นภาพรวมเดียวกันแบบ Real-Time และสามารถจัดการสถานการณ์ได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ BDI ยังร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการเชื่อมโยงข้อมูลผู้อพยพในศูนย์พักพิง เพื่อให้การช่วยเหลือมีความแม่นยำและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น รวมถึงอยู่ระหว่างพัฒนาระบบตรวจสอบสถานที่จัดเก็บรถที่ถูกเคลื่อนย้ายจากพื้นที่น้ำท่วมร่วมกับกรมการขนส่งทางบก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเครือข่ายอาสาสมัคร เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบสถานะรถได้อย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ช่วยให้กระบวนการฟื้นฟูดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น แนวคิดของ Digital Wall of Resilience จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือด้านข้อมูล แต่เป็น “ระบบนิเวศความร่วมมือ” ที่จะช่วยให้ประเทศเผชิญความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคมได้อย่างมีทิศทาง


ศ. ดร.ธีรณี กล่าวเพิ่มเติม ถึงความก้าวหน้าของโครงการ ThaiLLM ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ภาษาไทยแบบ Open Source / Open License โดยล่าสุดได้เผยแพร่โมเดลพื้นฐานขนาด 8B พารามิเตอร์ และโมเดลขนาด 30B พารามิเตอร์ ที่อัปโหลดเพิ่มเติมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนโมเดลขนาดใหญ่ที่สุดจะเปิดให้สาธารณะเข้าถึงภายในเดือนมกราคม 2569 โมเดลเหล่านี้ได้รับการฝึกด้วยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนการพัฒนา นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบนิเวศ AI ภาษาไทย ให้สามารถนำไปต่อยอดใช้งานในหลากหลายสาขา ขณะนี้มีหลายทีมเริ่มทดลองใช้งาน และคาดว่าจะเห็นผลลัพธ์รูปธรรมในเร็วๆ นี้

โดยจุดเริ่มต้นแรกของพัฒนาที่สำคัญ คือ โมเดลเฉพาะทางด้านการแพทย์สำหรับงานคัดกรองอาการ (Medical Screening) ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2569 พัฒนาโดยทีม ThaiLLM ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและโรงพยาบาลภาครัฐ โมเดลดังกล่าวถูกออกแบบเพื่อประเมินคัดกรองเบื้องต้น ให้คำแนะนำการดูแลตนเอง และแนะนำการพบแพทย์อย่างเหมาะสม โดยยืนยันว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการวินิจฉัยโรค ทั้งนี้ Chatbot รุ่นต้นแบบที่ใช้โมเดลนี้คาดว่าจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2569 ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งคัดกรองด้วยข้อมูลสุขภาพที่เชื่อถือได้ และแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ในขั้นต้น


“นอกจากนี้ BDI ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะองค์กรหลักในการพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้าน Big Data และ AI ยังเตรียมมอบของขวัญปีใหม่ 2569 ผ่านหลักสูตรออนไลน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบวิดีโอการสอนจำนวน 3 หลักสูตร ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำ AI ไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเรียน และการสร้างเนื้อหา พร้อมต่อยอดเป็นทักษะใหม่เพื่อการประกอบอาชีพ หลักสูตรทั้งหมดจะเปิดให้เรียนฟรี ถือเป็นการยกระดับทักษะดิจิทัล เพื่อการพัฒนากำลังคนของประเทศ และขยายโอกาสการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและยั่งยืนศ. ดร.ธีรณี กล่าวทิ้งท้าย