1 ธ.ค. 2568 364 0

จุฬาฯ-ซิสโก้-เอ็มเฟค เปิดตัว 'CU Living ARCH 5.0' ต้นแบบ Digital Twin ขับเคลื่อนด้วย AI แห่งแรกของไทย จัดการอาคารอัจฉริยะ

จุฬาฯ-ซิสโก้-เอ็มเฟค เปิดตัว 'CU Living ARCH 5.0' ต้นแบบ Digital Twin ขับเคลื่อนด้วย AI แห่งแรกของไทย จัดการอาคารอัจฉริยะ


จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ซิสโก้, และบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC (MFET) ได้ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ "CU Living ARCH 5.0" (อีกชื่อหนึ่งว่า "CU Living Art 5.0") ซึ่งเป็นโครงการสถาปัตยกรรม Digital Twin ที่ตอบสนองและขับเคลื่อนด้วย AI แห่งแรกของประเทศไทย โครงการนี้ดำเนินการภายใต้โครงการ Cisco Country Digital Acceleration (CDA) และนับเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาชั้นนำ ภาคเอกชนด้านเทคโนโลยีระดับโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านจัดการระบบไอที

มิติใหม่แห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน สอดรับวิสัยทัศน์สังคม 5.0


โครงการ CU Living ARCH 5.0 ถูกออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่ ‘สังคม 5.0’ ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์แห่งอนาคตที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมดิจิทัลอย่าง AI เพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมในวงกว้าง วิสัยทัศน์สังคม 5.0 ของไทยให้ความสำคัญกับการมี ‘คน’ เป็นศูนย์กลางของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

Digital Twin แบบเรียลไทม์ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์และระบบอาคารต่างๆ เพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้การใช้พลังงาน และพื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โครงการนี้ใช้เทคโนโลยี Digital Twin ในการรวบรวมข้อมูลจากระบบ IT และ OT, เซ็นเซอร์ IoT และข้อมูลอาคาร เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารจัดการการใช้พลังงาน พื้นที่ และคุณภาพสภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


วีระ อารีรัตนศักดิ์, กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์, กล่าวว่า โครงการ CU Living ARCH 5.0 ทำให้วิสัยทัศน์สังคม 5.0 เป็นจริงด้วยการใช้ประโยชน์จาก AI และนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ท่านกล่าวเพิ่มเติมว่า ซิสโก้ภูมิใจที่ได้ขับเคลื่อนโครงการสถาปัตยกรรม Digital Twin ที่ตอบสนองและขับเคลื่อนด้วย AI แห่งแรกของประเทศนี้ ด้วยการส่งมอบเทคโนโลยีพื้นฐานที่เป็นหัวใจสำคัญของโครงการ


ศ.ดร.อรรจน์ เศรษฐบุตร, รองคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ได้เน้นย้ำว่า "CU Living ARCH 5.0 มีความหมายมากกว่าการวิจัย โครงการนี้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้ สร้างสรรค์นวัตกรรม และแบ่งปันความรู้" โครงการนี้ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมอาคารที่ตอบสนองได้ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าสอดคล้องกับวิสัยทัศน์สังคม 5.0 โดยมีเทคโนโลยีของซิสโก้เป็นรากฐาน เป้าหมายของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เพิ่มคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ใช้ทุกระดับ ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมอาคารที่ตอบสนองได้

ห้องปฏิบัติการมีชีวิต อาคารที่นำ Digital Twin มาใช้

โครงการนำร่อง CU Living ARCH 5.0 ใช้พื้นที่ขนาด 2,000 ตารางเมตร ณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ โดยทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการจริง (living laboratory) โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปลดล็อกมูลค่าจากการลงทุนด้านเทคโนโลยี และสร้างความยืดหยุ่นทางดิจิทัล (Digital Resilience) ซึ่งรวมถึงความสามารถในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

จุฬาฯ ได้ริเริ่มโครงการ Building Information Modeling (BIM) มาตั้งแต่ปี 2013 และสามารถเก็บข้อมูลอาคารเสมือน (Virtual Building) ได้แล้วถึง 1.3 ล้านตารางเมตร อย่างไรก็ตาม การเก็บข้อมูล BIM ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การออกแบบและการจัดการการก่อสร้างเท่านั้น ดังนั้น ภารกิจหลักของ CU Living Art 5.0 จึงเป็นการทำให้ข้อมูลอาคารจำนวนมหาศาลนี้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ผ่าน Digital Twin

ทีมวิจัยเชื่อว่าอาคารทางกายภาพจะไม่สามารถสื่อสารได้หากไม่มีตัวช่วยให้อาคารสามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหน อย่างไร โครงการนำร่องนี้เลือกใช้อาคารที่มีอายุ 50 ปีในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายอาคารราชการหลายแห่งในประเทศ ทำให้โมเดลที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในวงกว้าง

ความร่วมมือ 3 ประสาน AI-Ready Infrastructure และ System Integration


การเกิดขึ้นของ CU Living Art 5.0 เป็นผลมาจากการผสานความเชี่ยวชาญของทั้งสามฝ่าย บทบาทของซิสโก้ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI ซิสโก้เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยี โดยมอบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่ปลอดภัยและพร้อมสำหรับ AI (AI-ready infrastructure) รวมถึงดูแลความปลอดภัยของ AI language models เทคโนโลยีหลักที่ใช้ในการขับเคลื่อนระบบ Digital Twin และสร้างสภาพแวดล้อมที่ตอบสนองได้ ประกอบด้วย

  1. Cisco Catalyst Platform: แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต เช่น WiFi/Wireless ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมด
  2. Meraki IoT Devices: เซ็นเซอร์ IoT และ Industrial Gateway ที่ใช้เก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ของสภาพแวดล้อมต่างๆ อาทิ อุณหภูมิ, คุณภาพอากาศ, การใช้พลังงาน, ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), การวิเคราะห์การใช้พื้นที่ และจำนวนผู้สัญจรไปมา
  3. Cisco Spaces: แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลตามตำแหน่ง (location-based analytics) ซึ่งรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล telemetry แบบเรียลไทม์ทั้งหมดจากอุปกรณ์ IoT เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ

ซิสโก้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยฟังก์ชันความปลอดภัยถูกฝังอยู่ในทุกจุดควบคุม (control point) ของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อผ่านซิสโก้ เพื่อป้องกันปัญหาข้อมูลถูกแฮกซึ่งเคยเกิดขึ้นในโครงการทดลองก่อนหน้านี้

บทบาทของ MFEC การเปลี่ยนข้อมูลดิบเป็นข้อมูลเชิงลึกเชิงรุก

MFEC ในฐานะผู้ติดตั้งระบบและเทคโนโลยี (System Integrator) ได้นำประสบการณ์ด้าน IoT และระบบจัดการอาคารอัจฉริยะ “MIIoT” (MFEC Intelligent IoT) มาใช้เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง ภายในระยะเวลา 4 เดือน MFEC ได้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ทั่วคณะฯ สำเร็จ ทั้งเซ็นเซอร์และมิเตอร์อัจฉริยะ


ดำรงศักดิ์ รีตานนท์, หัวหน้าฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและการบูรณาการ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน), อธิบายว่า "ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแนวทางการจัดการอาคารของประเทศไทย" ในฐานะผู้ติดตั้งระบบและเทคโนโลยี MFEC ได้เชื่อมโยงข้อมูลทางวิศวกรรมเข้ากับข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้บริหาร ทำให้สามารถเปลี่ยนจากการซ่อมบำรุงเมื่อเกิดความเสียหาย ไปสู่การบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อป้องกันปัญหา

MFEC รับผิดชอบในการบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน ซึ่งเซ็นเซอร์สามารถเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล (ประมาณ 15,000 สล็อตข้อมูลต่อวัน) พวกเขาใช้แพลตฟอร์ม My IoT Platform เข้ามาช่วยในการทำงาน และใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ เนื่องจากวิธีการแบบปกติไม่สามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้

นอกจากนี้ MFEC ยังช่วยออกแบบและจัดทำ Dashboard ซึ่งถือเป็น Dashboard แรกในประเทศไทยที่แสดงผลด้านคุณภาพอากาศ, คาร์บอนฟุตพริ้นท์, พลังงาน, และการใช้งานพื้นที่ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงแบบ Real-time Dashboard นี้ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับสองกลุ่มผู้ใช้งาน คือ ทีมวิศวกรที่ต้องการข้อมูลเชิงเทคนิค และผู้บริหารคณะที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปตัดสินใจและปฏิบัติ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้แสดงแค่ตัวเลข แต่ยังมองถึงพฤติกรรมที่มีผลต่อตัวเลขนั้นๆ และเสนอการแก้ไขปัญหาด้วย

จาก Digital Shadow สู่ Digital Twin เต็มรูปแบบ


ทีมงานใช้เวลาทำงาน 6 เดือนและได้เริ่มรับข้อมูลจริงในช่วงสัปดาห์ก่อนวันเปิดตัว (1 ธันวาคม 2568) ณ วันเปิดตัว โครงการประสบความสำเร็จในการ "ปลุกชีวิตอาคาร" ให้สื่อสารและรับรู้ข้อมูลได้ (ระดับ Digital Shadow) ซึ่งในระยะนี้ยังต้องใช้เวลาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่สื่อสารกลับมา

เป้าหมายต่อไปคือการทำให้เกิด Digital Twin ที่สามารถ "คิดและร่วมทำงานกับมนุษย์" ซึ่งจะมีการนำเสนอผลงานอีกครั้งในงาน Expo เดือนพฤษภาคมปีหน้า โครงการนี้จะดำเนินการเป็นระยะ และคาดว่าจะพร้อมใช้งาน AI ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2569

ประโยชน์จากการใช้งานจริง ยกระดับคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการจัดการอาคาร

การสร้าง Digital Twin ที่แท้จริงต้องอาศัยการคิดใหม่ทั้งหมด โดยทีมงานได้พัฒนา "New Drawing" ใหม่ที่เรียกว่า IoT Drawing และกำหนด New Process ใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ต้องผ่าน 30 กิจกรรม, 11 เอกสาร, และ 9 ผลลัพธ์ เพื่อทำให้อาคาร 2,000 ตารางเมตรมีชีวิต

ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจและวางแผนปรับปรุงการดำเนินงานอาคารได้แม่นยำยิ่งขึ้น จากเดิมที่การจัดการอยู่บนพื้นฐานของการคิดเอาเอง หรือประสบการณ์ในอดีต

  1. การประหยัดพลังงานและการควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: ระบบสามารถปรับการควบคุมอาคารกลับไปตามผลการวิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น หากห้องประชุมจุได้ 100 คน และถูกตั้งค่าอุณหภูมิที่สบายไว้ที่ 24 องศา แต่มีคนเต็มห้อง ระบบปรับอากาศอาจต้องตั้งอุณหภูมิเป็น 22 องศาเพื่อให้ผู้ใช้ยังคงรู้สึกสบาย (Comfort Level)
  2. การเพิ่มคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี: เทคโนโลยีนี้ช่วยแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักศึกษา เช่น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงเกินไปทำให้นักศึกษาง่วง หากเซ็นเซอร์จับได้ว่ามีฝุ่นมากเกินไป (PM 2.5) ระบบจะสามารถส่งการแจ้งเตือนหรือเริ่มกระบวนการ Action เช่น การเปิดระบบเติมอากาศ
  3. การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance): นี่คือจุดสำคัญที่นำข้อมูลอาคาร BIM (ปริมาณ วัสดุ) ผนวกกับข้อมูล IoT การตรวจวัดความชื้นและ CO2 สามารถช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราบนฝ้าเพดานได้ เนื่องจากระบบจะเรียนรู้ว่าความชื้นและอุณหภูมิระดับใดจะกระตุ้นให้เกิดปัญหา หากเครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานผิดปกติหรืออุณหภูมิเริ่มตก ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ดูแลล่วงหน้า ก่อนที่แอร์จะเสียและกระทบต่อการใช้งาน

วิสัยทัศน์การขยายผล ต้นแบบสู่ Smart City และการพัฒนาบุคลากร


CU Living ARCH 5.0 ถือเป็นต้นแบบสำหรับโครงการอาคารและมหาวิทยาลัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในประเทศไทย หลังจากเริ่มต้นในพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร จุฬาฯ มีแผนจะขยายโครงการไปยังพื้นที่เพิ่มเติมอีก 28,000 ตารางเมตร ภายในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

จุฬาฯ มีแผนที่จะแบ่งปันความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดให้กับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในประเทศไทย, หน่วยงานภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม ซิสโก้, MFEC, และจุฬาฯ จะร่วมกันศึกษาและพัฒนาโอกาสในการขยายโครงการนี้ไปยังสถาบันการศึกษา อาคารเชิงพาณิชย์ และสมาร์ทซิตี้ทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของไทยสู่สังคม 5.0

ผู้ร่วมงานทุกคนมองว่าโมเดลนี้สามารถขยายผลไปยังสถาบันการศึกษาอื่น อาคารสำนักงาน (Office Building) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ได้ ซิสโก้ได้เน้นย้ำว่า Smart Building ในปัจจุบันต้องตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน (Sustainability) และ Green Technology เป็นหลัก และโครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่นำไปสู่ Smart Campus หรือ Smart University ได้

การสร้างทักษะและบุคลากร (Talent Development) ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่ Digital Transformation ซิสโก้เข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับผ่านการศึกษาผ่านโครงการ Cisco Network Academy ซึ่งได้ฝึกอบรมผู้เรียนชาวไทยไปแล้วกว่า 117,000 คน ตลอด 28 ปี นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทันสมัยร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

อย่างไรก็ตาม ทีมงานจุฬาฯ ยอมรับว่าจำเป็นต้องสร้างและพัฒนาบุคลากรภายในเพื่อใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพ Training Program ที่พัฒนาขึ้นจะไม่จำกัดอยู่แค่นิสิตนักศึกษาเท่านั้น แต่รวมถึงเจ้าหน้าที่และผู้บริหารด้วย เพราะระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ใหม่นี้ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ (New Knowledge)


โครงการ CU Living Art 5.0 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้าง “New Sector” และ “New Process” ตลอดจน “New Architect 5.0” (สถาปนิกยุคใหม่) ขึ้นมาเพื่อรองรับงานประเภทใหม่ในอนาคต ความร่วมมือนี้เป็นการติดตั้งที่ได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถทำได้จริง แต่เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพในระดับองค์กรและขยายผลได้จริง จำเป็นต้องอาศัยการรวมพลังของผู้เชี่ยวชาญทั้งสามฝ่ายมาสร้างระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์