จากภาวะวิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงและเป็นภัยพิบัติที่มีความรุนแรงอย่างยิ่งยวด โดยมีการประเมินว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี และมีความท้าทายคนทำงานด้านเครือข่ายการสื่อสารอย่างมาก แม้ว่าสถานการณ์จะเต็มไปด้วยความเครียดและความสูญเสีย แต่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างระดมกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาและฟื้นฟูเครือข่ายการสื่อสารที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ความท้าทายด้านพลังงานในหลากกระแสที่หนักหน่วง

ปรัธนา ลีลพนัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ของ AIS กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงในพื้นที่ประสบภัยหลัก คือ ภาคใต้ โดยเฉพาะอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทำให้เกิดความท้าทายอย่างมหาศาลต่อการทำงานของโครงข่ายสื่อสาร ปัญหาหลักและต่อเนื่องที่สุดคือการ ขาดแคลนกระแสไฟฟ้า เนื่องจากการไม่มีไฟฟ้า ทำให้เสาสัญญาณและอุปกรณ์รับส่งต้องพึ่งพาพลังงานสำรอง
"การรับมือกับปัญหานี้จึงแบ่งเป็นสองแนวทางหลัก คือ การใช้เครื่องปั่นไฟ (generator) และการใช้แบตเตอรี่ อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ในหลายพื้นที่วัดได้ถึง 1.5 เมตร ส่งผลให้เครื่องปั่นไฟจำนวนมากจมน้ำและใช้งานไม่ได้ ขณะเดียวกัน ผู้รับสัญญาณปลายทาง (ประชาชน) ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นกัน บางรายต้องปิดเครื่องมือถือ หรือพยายามหาแหล่งชาร์จแบตเตอรี่ใกล้เคียง เช่น โรงแรม ทำให้การส่งสัญญาณทะลุทะลวงไปยังทุกบ้านเป็นไปได้ยาก"
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าสายไฟเบอร์ออปติกถูกตัดขาดไปในพื้นที่ การดำเนินงานช่วยเหลือมีความยากลำบากอย่างยิ่งยวด เนื่องจากฝนตกไม่หยุดตลอดสองวันที่ผ่านมา และกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ถึงขนาดที่รถปฏิบัติการฉุกเฉินเคลื่อนที่ ของภาครัฐบางคันยังจมน้ำ การเข้าพื้นที่ทำได้ไม่ง่ายนัก แม้แต่การใช้เจ็ตสกีก็ยังเป็นปัญหา
มาตรการการรักษาโครงข่ายและการสนับสนุนฉุกเฉิน
ปรัธนา กล่าวต่อว่า ในการรักษาเครือข่ายให้สามารถใช้งานได้นานที่สุด บริษัทผู้ให้บริการเอไอเอสได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ 100% โดยมุ่งเน้นการให้ "สัญญาณต่อเนื่องให้มากที่สุด" การใช้ทุกเทคโนโลยีที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น 3G, 4G, หรือแม้กระทั่งการสื่อสารผ่านดาวเทียม (เสริมรถดาวเทียม) ถูกนำมาใช้ทั้งหมด เป้าหมายคือการรักษาเครือข่ายให้ "ออนไลน์" ตลอดเวลา แม้จะต้องต่อสู้กับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายก็ตาม
การเสริมกำลังพลังงาน มีการขนเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ถึง 500 กิโลกรัม เข้าไปในพื้นที่ พร้อมทั้งมีการเบิกแบตเตอรี่สำรองที่ชาร์จแล้ว (มีพลังงาน 7% ในนั้น) ออกไปสนับสนุนผู้ประสบภัยและสถานีฐานทั้งหมด
การใช้เสาสัญญาณสูง เนื่องจากเสาสัญญาณเตี้ยในพื้นที่ถูกน้ำท่วมและไฟดับ กลยุทธ์สำคัญคือการใช้เสาสัญญาณที่ตั้งอยู่บนที่สูงเพื่อบรอดคาสต์สัญญาณและครอบคลุมพื้นที่กว้าง ตัวอย่างเช่น ไซต์ที่ตั้งอยู่บนเขาคอหงส์ และ ไซต์ที่ชื่อว่าหัวรั้ว การส่งสัญญาณจากเสาสูงนี้ใช้ได้กับทุกความถี่ และช่วยให้สัญญาณดีขึ้น
ทางเลือกการสื่อสาร มีการเสนอให้พิจารณาการใช้ วิทยุ DTRS (Trunk Radio) ในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เนื่องจากเครือข่ายมือถือปกติไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสภาวะวิกฤตเช่นนี้ วิทยุมีระยะทางในการสื่อสารที่ไกลกว่ามาก แม้ว่าผู้รับในฝั่งประชาชนจะมีจำนวนไม่มากก็ตาม
"นอกจากนี้ การค้นหาตำแหน่งผู้ประสบภัยผ่านมือถือก็ยังคงใช้งานได้ เนื่องจากแทบจะไม่ต้องมีการค้นหา แต่สามารถทราบการประมาณการตำแหน่งได้จากมือถือที่เปิดอยู่แล้ว ซึ่งช่วยในการตอบสนองต่อเสียงร้องขอความช่วยเหลือ"
การระดมกำลังพลและศูนย์บัญชาการด้านเครือข่าย
การสนับสนุนด้านบุคลากรและวิศวกรรมเป็นไปอย่างเร่งด่วน ทีมวิศวกรเอไอเอสได้เข้าไปประจำอยู่ในพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง 3-4 วันติด โดยไม่หยุดพัก ในการตอบสนองเบื้องต้น ได้มีการส่งทีมวิศวกรชุดแรกจำนวนอย่างน้อย 40-50 คน เข้าไปประจำการในพื้นที่ และในวันเดียวกันนั้นเอง ทีมสนับสนุนจากภูมิภาคอีก 20-30 ทีม ได้ถูกระดมลงพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อสนับสนุนอย่างเต็มที่ 100%
"แม้ว่าทีมสนับสนุนจะเดินทางไปถึงแล้ว แต่การเข้าถึงพื้นที่ปฏิบัติการก็ยังไม่ง่ายนัก ทั้งนี้ การประสานงานมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเพื่อการสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ศูนย์บัญชาการหลักๆ มีอยู่ประมาณ 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์บัญชาการที่ตั้งอยู่ในมณฑลทหารบกที่ 42 (มทบ. 42) และตึกบัญชาการของรัฐบาลที่ตั้งอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง" ปรัธนา กล่าว
ขอบเขตภัยพิบัติและแนวโน้มในอนาคตด้านการสื่อสาร
จากข้อมูลเครือข่ายของเอไอเอสประเมินว่ามีประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง คิดเป็นจำนวนหลักแสนคน เฉพาะในเขตหาดใหญ่เพียงแห่งเดียว มีสถานีฐาน (Cell Site) ประมาณ 60-80 ไซท์ ที่ได้รับผลกระทบอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม
"แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่มีสัญญาณเชิงบวกปรากฏขึ้นบ้าง เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (11:00 น.) มีรายงานว่า ระดับน้ำเริ่มลดลงแล้ว ทุกฝ่ายต่างเฝ้ารอและหวังว่าในวันรุ่งขึ้นน้ำจะลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ภารกิจยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากมีแนวโน้มว่าภัยพิบัติอาจขยายขอบเขตไปยังอีก 2 จังหวัดที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ จังหวัดสตูล และจังหวัดตรัง หรือ จังหวัดอื่นๆ เช่น นครศรีธรรมราช ซึ่งทีมงานเอไอเอสได้เตรียมความพร้อมสำหรับการสนับสนุนในจังหวัดเหล่านี้ไว้แล้ว"

เอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการรายใหญ่เจ้านึงของประเทศ ได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นว่า ในฐานะบริษัทที่อยู่ในประเทศไทยและคนไทยทุกคน ก็ต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ โดยภารกิจสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ การช่วยเหลือให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
(หมายเหตุ: ข้อมูลสัมภาษณ์จากการพูดคุยถึงสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ขณะที่ยังอยู่ระหว่างการแก้ไขวิกฤตการณ์)