
นครหลวงเวียงจันทน์ 20 พฤศจิกายน 2568
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) และ บริษัท ไปรษณีย์ลาว จำกัด ได้ร่วมกันจัดการประชุมความร่วมมือด้านไปรษณีย์ ครั้งที่ 29 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพเศรษฐกิจอีคอมเมิร์ซและการค้าระหว่างไทยสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) พร้อมประกาศเดินหน้า 5 กรอบยุทธศาสตร์สำคัญ มุ่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง การเงิน บุคลากร และข้อมูล ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-ลาว-จีน และก้าวสู่การเป็น ‘Trusted ASEAN Brand’ หรือศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่เชื่อถือได้ในภูมิภาค

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยและ สปป.ลาว มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ เดือนกันยายน ปี 2568 พบว่า มูลค่าการค้ารวมพุ่งสูงกว่า 23,952 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.8
การเติบโตดังกล่าวสอดคล้องกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดอีคอมเมิร์ซใน สปป.ลาว ซึ่งมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไปรษณีย์ทั้งสองจึงเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจดิจิทัลในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะในระเบียงเศรษฐกิจไทย–ลาว–จีน ที่ได้รับอานิสงส์จากแนวเส้นทางรถไฟจีน–ลาว ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวของการขนส่งทางบกอย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ดนันท์ ยังได้กล่าวถึงกลยุทธ์หลักของไปรษณีย์ไทยคือ “Parcel Defined Logistics” เพื่อรองรับการจัดส่งพัสดุทุกรูปแบบ ตั้งแต่สินค้าขนาดเล็กไปจนถึงสินค้ามูลค่าสูง เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้


5 ยุทธศาสตร์หลัก ขับเคลื่อนการค้าข้ามพรมแดน
ไปรษณีย์ไทยและไปรษณีย์ลาวได้เห็นความสำคัญในการขยายโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการทั้งสองชาติ จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักร่วมกัน 5 ด้าน เพื่อสร้างประโยชน์ในระดับประเทศและภูมิภาค ดังนี้:
1. ยกระดับความปลอดภัยและมาตรฐานสากลของการขนส่งไปรษณีย์: มีการพัฒนาระบบส่งต่อถุงเมล์แบบปิด–เปิด ทั้งทางอากาศ ภาคพื้น และบริการ EMS ข้ามสะพานมิตรภาพไทย–ลาว พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านศุลกากร เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจปล่อยสินค้า และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของพัสดุระหว่างประเทศ
2. พัฒนาบริการ e-Commerce ข้ามพรมแดน (Cross-border e-Commerce): ขยายบริการ ePacket และบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ข้ามพรมแดน ครอบคลุมเส้นทาง ไทย–ลาว–จีน การขยายบริการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถส่งสินค้าข้ามพรมแดนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตอบรับกระแสการเติบโตของตลาดดิจิทัลในภูมิภาค
3. เสริมศักยภาพทางการเงินดิจิทัล: พัฒนาบริการ e-Wallet และช่องทางชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมต่ออายุความร่วมมือแบบ Exclusive กับ Western Union สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมุ่งเพิ่มทางเลือกที่ปลอดภัย โปร่งใส และทันสมัยแก่ผู้ใช้บริการ
4. สร้างภาพลักษณ์ผ่านการตลาดและตราไปรษณียากร: เพื่อสะท้อนมิตรภาพและวัฒนธรรมของสองประเทศ ผ่านการจัดทำแสตมป์เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย–ลาว ซึ่งรวมถึงการจัดทำตราไปรษณียากรที่มีสัญลักษณ์ "พญานาค" อันเป็นที่นับถือร่วมกัน เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ไทย–ลาวในปีนี้
5. พัฒนาศักยภาพบุคลากรและการเรียนรู้ร่วมกัน: มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และอบรมในรูปแบบ Onsite และ Virtual Learning ระหว่างบุคลากรไปรษณีย์ไทย–ลาว อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการของทั้งสององค์กร การแลกเปลี่ยนบุคลากรนี้ยังรวมถึงการส่งพนักงานไทยไปฝึกงานที่ลาว และบุคลากรลาวมาฝึกอบรมที่ไทย รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ผ่านกิจกรรมกีฬา

จุดพลุ 'COD ข้ามพรมแดน' รายแรก รับอีคอมเมิร์ซลาวโต 1,000 ล้านบาท
ความร่วมมือด้านไปรษณีย์และโลจิสติกส์ระหว่างไทยและลาว ได้ก้าวจากการแลกเปลี่ยนความรู้ไปสู่การเปิดบริการร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ระหว่างประเทศ ร่วมกับไปรษณีย์ลาว ซึ่งนับเป็น เจ้าแรก ที่ไปรษณีย์ไทยได้เปิดบริการ COD ข้ามพรมแดน
การคาดการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซใน สปป.ลาว ตลาดอีคอมเมิร์ซใน สปป.ลาว ถูกประเมินว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันมีการประเมินมูลค่ารวมของตลาดนี้อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว

ดร.ดนันท์ ชี้ว่า แม้ปริมาณกราฟิกหรือวอลุ่มในการขนส่งในส่วนนี้จะยังไม่มากเท่าส่วนอื่น ๆ แต่การพัฒนาบริการเพื่อรองรับการเติบโตนี้ถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่ข้อมูลการขนส่งชิ้นงานระหว่างไทยไปลาวและลาวเข้าไทยแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ชัดเจน โดยมีอัตราการเติบโตของชิ้นงาน เพิ่มขึ้นประมาณ 7% กว่า เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ประเทศไทยถือเป็นคู่ค้าและแหล่งนำเข้าสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของ สปป.ลาว สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในการสั่งซื้อจากลาวผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องสำอาง, และเสื้อผ้า เนื่องจากลาวไม่ได้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหลายอย่างด้วยตนเอง ในทางกลับกัน สินค้าที่ส่งจากลาวมายังไทยส่วนใหญ่เป็นอาหารพื้นบ้านที่คนลาวในไทยต้องการ เช่น ปลาแดก (ปลาร้า) และสินค้าเกษตรจำนวนหนึ่ง
บริการโลจิสติกส์ที่สะดวกสบายและมีความน่าเชื่อถือนี้ จะช่วยให้คนลาวในประเทศสามารถซื้อสินค้าจากไทยได้ง่ายขึ้น และทำให้การแลกเปลี่ยนพัสดุระหว่างสองประเทศเข้าสู่ ระบบ มากขึ้น มีความรวดเร็ว และความปลอดภัย

เชื่อมโยงทุกมิติ จากเทคโนโลยีถึงระบบราง
ดร.ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือนี้เป็นมากกว่าการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ แต่เป็นการวางรากฐานสนับสนุนด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยไปรษณีย์ไทยได้นำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้
การยกระดับความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี ไปรษณีย์ไทยได้นำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบ EDI และ ระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ มาใช้ควบคู่กับระบบถุงเมล์ปิด–เปิด เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของพัสดุระหว่างประเทศ ขณะที่การแลกเปลี่ยนข้อมูล (PI, EDI) ระหว่างประเทศจะถูกดำเนินการตามมาตรฐานสากล ข้อมูลจะไม่ได้แลกเปลี่ยนระหว่างไปรษณีย์โดยตรง แต่จะแลกเปลี่ยนผ่านระบบ NSW (National Single Window Unit) ซึ่งเป็นระบบรวมศูนย์ (centralized system) และมีผู้ดูแล (Operator) ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลมีความปลอดภัยในระดับสูง ด้วยการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และผู้ค้าออนไลน์ในภูมิภาค ไปรษณีย์ไทยยังมีการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อช่วยลดต้นทุนการขนส่ง
วิสัยทัศน์โลจิสติกส์ครบวงจร ภาคพื้น–ทางอากาศ–ทางราง ไปรษณีย์ไทยตั้งเป้าพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ให้ครบวงจร โดยเชื่อมระบบการขนส่ง ภาคพื้น–ทางอากาศ–ทางราง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนส่งสินค้าระดับภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยยังเตรียมเข้าร่วมเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศด้านโลจิสติกส์ในปี 2569 เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีกับพันธมิตรอาเซียน

ฤทธิกร ภูมิศักดิ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ลาว จำกัด : ร่วมให้ข้อมูล


ความท้าทายในการเชื่อมต่อระบบรถไฟและความร่วมมือกับพันธมิตร
บทบาทของระบบรางและอุปสรรคข้ามพรมแดน การขนส่งทางรางระหว่างลาวและจีนถือเป็นส่วนสำคัญของโลจิสติกส์ในภูมิภาค รถไฟขนส่งสินค้า (Cargo train) ปัจจุบันมีการขนส่งประมาณ 20-30 เที่ยวต่อวัน ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่ารถบรรทุก โดยเฉพาะสำหรับสินค้าประเภทผลไม้และสินค้าเกษตร เนื่องจากมีความรวดเร็วกว่าการใช้เครื่องบิน และไปรษณีย์ไทยและลาวสามารถใช้บริการทางรถไฟเป็นทางเลือกในการขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างกันได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่ยังต้องแก้ไขคือ รถไฟไทยในปัจจุบันไม่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับรถไฟจีนได้ การเชื่อมต่อที่หนองคายยังต้องมีการดำเนินการอยู่ สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ต้องมีการ ขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเปลี่ยนขบวน ซึ่งทำให้เกิดการเสียเวลาและสูญเสียประสิทธิภาพอย่างมาก หากระบบรถไฟความเร็วสูงในไทยแล้วเสร็จถึงหนองคาย การขนส่งทางรางจะสามารถทำได้ดีขึ้นมาก
การขยายเครือข่ายบริการครอบคลุมด่านชายแดน ไปรษณีย์ไทยเตรียมขยายเครือข่ายบริการครอบคลุมด่านชายแดนสำคัญ อาทิ หนองคาย เชียงของ และสะพานมิตรภาพไทย–ลาวทุกแห่ง เพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดจีนตอนในและยุโรปตะวันออก
ดร.ดนันท์ เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล พร้อมตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค CLMV อย่างแท้จริง

บริบทการค้าต่างประเทศ ความท้าทายด้านภาษีกับสหรัฐอเมริกา
นอกเหนือจากคู่ค้าในภูมิภาค ลาวมีการค้าขายกับสหรัฐอเมริกาด้วย แต่มีมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศที่ไม่สูงมากนัก โดยอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
การค้ากับสหรัฐฯ ยังคงมีประเด็นท้าทายที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่อง ภาษี ในปัจจุบัน การส่งสินค้าจากลาวไปยังอเมริกามีความยากลำบากเนื่องจากลูกค้าต้อง เสียภาษีล่วงหน้า ซึ่งเป็นปัญหาของระบบ Delivery Duty Paid (DDP) ทำให้เกิดความยุ่งยากในการทำธุรกรรม อย่างไรก็ตาม การค้าลาว-อเมริกาไม่ได้มีประเด็นขัดแย้งที่รุนแรงในปัจจุบัน และทั้งสองประเทศยังคงติดตามสถานการณ์และหาทางเจรจาเงื่อนไขต่างๆ อย่างต่อเนื่อง