20 พ.ย. 2568 154 0

ไปรษณีย์ไทยผงาด! 9 เดือนรายได้ทะลุ 1.6 หมื่นล้าน โต 7% พลิกโฉมปี 69 พร้อมสร้าง Tech Engine ชดเชยตลาดสหรัฐฯ ชะลอตัว

ไปรษณีย์ไทยผงาด! 9 เดือนรายได้ทะลุ 1.6 หมื่นล้าน โต 7% พลิกโฉมปี 69 พร้อมสร้าง Tech Engine ชดเชยตลาดสหรัฐฯ ชะลอตัว


ปณท. เผยพร้อมลงทุนเทคโนโลยี หลังทำรายได้ทะลุ 1.5 พันล้านบาท เร่งเครื่องสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ ดัน ‘Sustainnovation’ เสริมแกร่งตลาดปี 2568 และ ปีหน้า 2569 ลุยสร้างฐานรายได้ 24 ชั่วโมง ขยายความร่วมมือโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – กันยายน) โดยมีสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้รวมสูงถึง 16,860.73 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยความสำเร็จนี้เกิดจากความแข็งแกร่งของระบบงานไปรษณีย์ และการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างมาตรฐานการขนส่งและยกระดับความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ

ไปรษณีย์ไทยยังคงเดินหน้าเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านบริการขนส่งทั้งในและระหว่างประเทศ พร้อมกับการนำเอายุทธศาสตร์ Sustainnovation (นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน) มาใช้เป็นหัวใจหลักในการเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรและทุกภาคส่วนของไทยในระยะยาว

ผลประกอบการ 9 เดือน และสัญญาณความเชื่อมั่นที่พุ่งสูง

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ว่า ธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้มากที่สุดและเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเติบโต คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 7,990.28 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตโดดเด่นสูงถึง 47.39% ของรายได้ทั้งหมด และขยายตัว 8.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 การเติบโตนี้สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในหลายอุตสาหกรรม เช่น ค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ สินค้าแฟชั่น และไลฟ์สไตล์

นอกจากธุรกิจขนส่งแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังคงเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการต่อยอดเครือข่าย เทคโนโลยี และคุณภาพบริการ ส่งผลให้ปริมาณงานในหมวดต่าง ๆ ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงบริการข้ามประเทศที่ปรับตัวเข้าสู่โครงสร้างที่มีคุณภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ไปรษณีย์ไทยยังคงดำเนิน การให้บริการเพื่อสังคม (PSO) อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง ม.ค. – ก.ย. 2568 คิดเป็นมูลค่า 466.93 ล้านบาท

ความเชื่อมั่นแบรนด์พุ่งแตะ 97.92%

ดร.ดนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลลัพธ์ที่สำคัญอีกประการคือความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของผู้ใช้บริการ โดยผลสำรวจความเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทย ปี 2568 มีคะแนนเพิ่มสูงถึง 97.92% จาก 91.87% ในปี 2567 และคะแนนความไว้วางใจแบรนด์อยู่ที่ 98.26% ซึ่งสูงขึ้นจาก 96.11% ในปี 2567

“จากตัวเลขความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้บริการสัมผัสถึงประสบการณ์จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง ทั้งในด้านความเร็ว ความแม่นยำ และคุณภาพบริการ ซึ่งไปรษณีย์ไทยได้ลงทุนและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในระบบงาน เทคโนโลยี และบุคลากร เพื่อสร้างมาตรฐานคุณภาพบริการที่เท่าเทียมกันทั่วประเทศ ยืนยันว่าไปรษณีย์ไทยกำลังก้าวสู่ทิศทางการเติบโตที่มั่นคง ด้วยการปรับภาพลักษณ์แบรนด์สู่ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย" ดร.ดนันท์ กล่าวย้ำ 

กลยุทธ์การเติบโตใหม่ และการเผชิญหน้ากับความท้าทายระดับโลก

แม้ว่ารายได้หลักจะมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ไปรษณีย์ไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยากต่อการควบคุมในภาคส่วนธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับผลกระทบจาก "ภาษีทรัมป์" และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบศุลกากรที่มีการจัดเก็บภาษีตั้งแต่สินค้ามูลค่า 1 บาท ทำให้ภาคส่วนธุรกิจระหว่างประเทศประสบปัญหาและลดลงไปประมาณ 10% และต้องมีการ ปิดปลายทางอเมริกาชั่วคราว เป็นเวลา 1-2 เดือน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยที่ไม่คาดคิดเข้ามากระทบ แต่คณะกรรมการยังคงไม่ยอมให้มีการปรับลดเป้าหมายรายได้เดิมที่ตั้งไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ทำให้องค์กรต้องเร่งหาทางชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป

กลุ่มธุรกิจอื่นเติบโตสูง Travel Lite ทะยาน 551%

นอกจากกลุ่มบริการขนส่งที่เป็นรายได้หลักแล้ว การให้บริการในด้านอื่นๆ ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์และอำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจก็มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Travel Lite ซึ่งเป็นบริการขนส่งสัมภาระและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ทำรายได้เติบโตจากปี 2567 มากถึง 551% สะท้อนความมั่นใจในศักยภาพเครือข่ายของไปรษณีย์ และยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยส่งเสริมมิติด้านการท่องเที่ยวให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

ขณะที่บริการ ค้าปลีกและการเงิน ก็ทำรายได้เติบโตขึ้นจากเดิม 14.33% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของฐานลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ และความสามารถในการผสานบริการออฟไลน์–ออนไลน์ (O2O) ได้อย่างสะดวก จนกลายเป็นช่องทางซื้อขายที่ผู้บริโภคเชื่อถือได้มากขึ้น นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมีการขยายแพลตฟอร์มชำระเงินและบริการตัวแทนทางการเงินให้ครอบคลุมและทันสมัยมากขึ้น ทั้งระบบ e-Payment, การชำระ COD ผ่านปลายทาง, และการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มชำระเงินระดับสากล ทำให้ไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่เป็น โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น

พร้อมเร่งเครื่องบริการส่งต่างประเทศ

ในฐานะกลไกสำคัญในการขนส่งระหว่างประเทศ ไปรษณีย์ไทยยังคงมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการ EMS ที่ทำรายได้สูงสุด คิดเป็น 33.99% ของรายได้บริการส่งต่างประเทศทั้งหมด เพื่อช่วยยกระดับระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศท่ามกลางภาวะการส่งออกที่ยังคงผันผวน

ไปรษณีย์ไทยมุ่งเสริมมาตรฐานบริการข้ามแดนให้เทียบเท่าสากล ขยายความร่วมมือโลจิสติกส์กับปลายทางสำคัญทั่วโลก เพื่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME และผู้ค้าออนไลน์ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่แข่งขันได้จริง หนึ่งในบริการเชิงกลยุทธ์คือการให้บริการขนส่งสินค้าเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) โดยไปรษณีย์ไทยจะทำหน้าที่รับรวบรวมสินค้า ดำเนินพิธีการศุลกากร และนำส่งเข้าคลัง Amazon FBA ของสหรัฐอเมริกา เพื่อกระจายสินค้าสู่ตลาดต่อไป นอกจากนี้ ยังใช้เครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 205 ปลายทาง ในการส่งออกสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ SME และสินค้านวัตกรรม พร้อมให้บริการแบบ End-to-End ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การจัดทำเอกสารศุลกากร การจัดเก็บและแพ็กกิ้ง ไปจนถึงการเลือกบริการขนส่งที่เหมาะสม เช่น EMS World และ ePacket

การปฏิวัติเทคโนโลยี ลงทุน 1.5 พันล้านบาท สู่ “Tech Post”

เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการแข่งขันที่สูงขึ้น ไปรษณีย์ไทยจึงมุ่งเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีและการปรับโครงสร้างด้านไอทีอย่างจริงจัง โดยในปีนี้มีการลงทุนไปแล้วกว่า 1,500 ล้านบาท


ดร.ตฤณ ทวิธารานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด : ร่วมให้ข้อมูลในข่าว


Super App ยกระดับประสบการณ์ไร้รอยต่อ

โครงการหลักคือการรวมแอปพลิเคชันที่กระจัดกระจายอยู่กว่า 5 ตัว (เช่น แอปสำหรับ Wallet, แอปสำหรับที่อยู่) เข้าไว้ใน Super App เพื่อแก้ไขปัญหาที่ยอดดาวน์โหลดแต่ละแอปต่ำและกระจัดกระจาย โดย Super App นี้คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วง ไตรมาสที่ 1 ของปี 2569 (ประมาณเดือนกุมภาพันธ์) โดยจะทำหน้าที่เป็นจุดเดียว (Single Touch Point) สำหรับลูกค้าในการเข้าถึงบริการทั้งหมด

ฟีเจอร์เด่นเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่าง ประกอบด้วย

  1. AI Tracking: ลูกค้าไม่ต้องจำเลข Tracking 13 หลัก แต่สามารถถ่ายภาพหรือสแกนเลขพัสดุ และระบบ AI จะช่วยอ่าน และติดตามสถานะให้
  2. Real-Time Map Tracking: ลูกค้าสามารถดูตำแหน่งของพัสดุบนแผนที่แบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำ
  3. Delivery Management: ลูกค้าสามารถบริหารจัดการการจัดส่งได้เอง เช่น เลือกให้มาส่งที่สำนักงานแทนบ้าน ในวันที่ตนเองไม่อยู่

ภายในปี 2569 Digital Touch Point ทั้งหมดจะถูกบูรณาการ รวมถึงการนำระบบ พร้อมโพสต์ (Prompt Post) และระบบที่อยู่ 6 หลัก เข้ามาไว้ใน Super App เพื่อให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จ

พลัง AI ขับเคลื่อนการปฏิบัติการ

ไปรษณีย์ไทยกำลังก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการนำ AI มาใช้ทั้งในด้านบริการลูกค้าและการปฏิบัติการภายใน อาทิ 

  • บุรุษไปรษณีย์ AI ที่จะมาแทนที่การโทรเข้า Call Center ลูกค้าสามารถพูดคุยกับพี่ไตรผ่านแชทบอทเพื่อสอบถามหรือติดตามพัสดุที่สูญหายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • Knowledge Management โดย AI สำหรับใช้งานภายใน ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้กับพนักงานและบุรุษไปรษณีย์ เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลกฎระเบียบและคำสั่งใหม่ๆ ที่ถูกต้องสอดคล้องกัน
  • การบริหารจัดการภายใน: มีการศึกษาและทดลองการนำ AI มาใช้ในการวางแผนเส้นทางนำจ่ายที่เหมาะสมเพื่อช่วยลดข้อผิดพลาด ลดเวลา และประหยัดพลังงาน รวมถึงการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของลูกค้าเพื่อจัดการสต็อกสินค้าในคลังได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมีการดำเนินการ Proof of Concept (POC) เพื่อให้สามารถติดตามเลขพัสดุผ่านแพลตฟอร์มภายนอกอย่าง ChatGPT ได้แล้ว และคาดว่าจะสามารถใช้งานร่วมกับ Gemini ได้ในเดือนถัดไป

สร้าง ‘Tech Engine’ และกลยุทธ์ขยายตลาดสู่ภูมิภาค

ดร.ดนันท์ ชี้ให้เห็นต่อด้วยว่า "การจะปรับตัวด้านเทคโนโลยีให้รวดเร็วและต่อเนื่องได้ องค์กรจำเป็นต้องมีกลไกที่มีความยืดหยุ่นในแบบเอกชน หากต้องการเชื่อมต่อกับช่องทางออนไลน์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา การจ้างคนมาพัฒนา (Dev) ทีละระบบจะใช้เวลานานมาก เราจึงต้องมี Engine ที่สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อให้ระบบหลักอย่าง Super App สามารถอัปเดตได้ตลอดเวลา” ดร.ดนันท์ อธิบาย

ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างเพื่อดึงดูดบุคลากร เพื่อดึงดูดบุคลากรด้านเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญสูง (Talent) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI Engineer ซึ่งมีเงินเดือนเริ่มต้นสูงถึง 50,000 บาท ไปรษณีย์ไทยจึงกำลังพิจารณาแนวทางในการตั้ง บริษัทลูก หรือการร่วมทุน (JV) ซึ่งจะมีโมเดลคล้ายกับการที่ธนาคารใหญ่ตั้งบริษัทภายใต้การกำกับของตนเอง (เช่น KBTG) เพื่อลดความซับซ้อนของภาครัฐและสามารถแข่งขันด้านค่าตอบแทนได้

นอกจากนี้ ยังมีการลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และหันไปเน้นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Ecosystem โดยอาจเข้าถือหุ้นในบริษัทบางแห่งที่สามารถทำงานร่วมกันได้ทันที เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้ไม่ได้เพียงแค่สนับสนุนไปรษณีย์เท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ขายให้กับ Vertical Sector อื่นๆ เพื่อสร้างรายได้จากภายนอกได้อีกด้วย

การร่วมทุน (JV) หรือการได้เห็นบริษัทลูกที่มีความชัดเจนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในปี 2569 โดยการร่วมทุนที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่แค่ด้านเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่จะต้องเป็น Trade บวก Logistics หรือ Trade บวก Operation เพื่อเติมเต็มความสามารถที่ขาดไป

มุ่งสู่รัสเซีย-จีน ชดเชยตลาดสหรัฐฯ

เมื่อตลาดสหรัฐฯ เผชิญความท้าทาย ไปรษณีย์ไทยจึงหันไปโฟกัสที่ตลาดอื่นอย่างจริงจัง เช่น รัสเซียและจีน และยังขยายความร่วมมือกับไปรษณีย์ลาวในหลายด้านเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจระหว่างประเทศ

ความร่วมมือกับไปรษณีย์ลาวครอบคลุมตั้งแต่

  1. บริการการเงินข้ามพรมแดน: เช่น การโอนเงินและการใช้ Wallet ระหว่างกันระหว่างไทยและลาว
  2. บริการ COD ต่างประเทศ: มีการขยายบริการ Cash on Delivery (COD) จากเดิมที่จำกัดอยู่แค่ในประเทศ ให้สามารถส่งของจากไทยไปลาว และลาวทำหน้าที่เก็บเงินปลายทางแล้วส่งกลับมายังไทยได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
  3. การพัฒนาบุคลากร: มีความร่วมมือด้านการฝึกอบรม (Training) และการแลกเปลี่ยนบุคลากร

สำหรับกลยุทธ์ด้าน E-Commerce Platform ไปรษณีย์ไทยจะใช้กลยุทธ์ที่เน้นการ ให้ผู้ขาย (Seller) เป็นคนเลือก บริการขนส่งเอง เพื่อให้ผู้ขายสามารถบริหารจัดการการขนส่งที่มาจากหลายช่องทางได้อย่างสะดวก เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะได้สิทธิ์เป็น Exclusive Partnership กับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ในปัจจุบัน

วิสัยทัศน์ Sustainnovation และก้าวสู่ Smart Logistics

ดร.ดนันท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วงปลายปีนี้และในปี 2569 Sustainnovation เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญขององค์กร ที่จะนำความยั่งยืนมาสู่การเติบโตในระยะยาว โดยเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาโครงสร้างธุรกิจอย่างรอบด้าน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานบริการ ระบบหลังบ้าน และการสร้างพอร์ตธุรกิจใหม่ที่ตอบรับเศรษฐกิจดิจิทัล โมเดลนี้ไม่ได้มุ่งสร้างการเติบโตเพียงด้านรายได้ แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ธุรกิจ และระบบขนส่งของประเทศ และเป็นก้าวสำคัญในการวางตำแหน่งไปรษณีย์ไทยสู่การเป็น Tech Post อย่างเต็มรูปแบบ

ไปรษณีย์ไทยได้วางโซลูชันหลักเพื่อตอบรับกับยุทธศาสตร์นี้คือ:

  • การขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI นอกเหนือจาก Super App และระบบหลังบ้าน ยังรวมถึงการพัฒนา Chatbot และระบบตอบรับอัจฉริยะเพื่อให้บริการข้อมูลและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นแก่ผู้ใช้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
  • การเร่งพัฒนาบริการ D/ID เพื่อกระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานด้านความเชื่อมั่นและความเป็นส่วนตัว และทำหน้าที่เป็นรหัสกลางที่จะทำให้การทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐ อีคอมเมิร์ซ และเอกชนเชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อ และทำให้ไปรษณีย์ไทยรองรับงานต่อวันได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุน
  • ยกระดับบริการ Prompt Post  พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Digital Postbox บริการตู้ไปรษณีย์ดิจิทัลส่วนบุคคล, Passport Tracking บริการติดตามสถานะหนังสือเดินทาง, Prompt Pass ระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมออนไลน์ และ Prompt Vote ระบบการลงคะแนนเสียงออนไลน์รูปแบบใหม่ที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และมีระบบบันทึกผลที่น่าเชื่อถือ
  • การเพิ่มประสิทธิภาพของ Postman Cloud เอื้อต่อทั้งภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ ผ่านการขยายกำลังคนในแต่ละพื้นที่ เช่น กลุ่มบุคลากรวัยเกษียณที่ยังคงมีความเชี่ยวชาญและความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพื้นที่ เพื่อรองรับดีมานด์การเก็บข้อมูลและสำรวจทรัพย์

วิสัยทัศน์ระยะยาว สร้างรายได้ 24 ชั่วโมง และ Half Day Delivery

วิสัยทัศน์ระยะยาวขององค์กร (1-3 ปี) คือการที่ไปรษณีย์ไทยสามารถใช้โครงข่ายที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อเป็น ผู้ขับเคลื่อน (Enable) ให้ธุรกิจที่เข้ามาจอยเวิร์กสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังต้องการสร้างบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กรได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้พนักงานมาทำงานตลอดเวลา เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล (Data Product) หรือธุรกรรมต่างๆ

ปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยกำลังทำการทดสอบ Sandbox โดยนำเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น IoT และ AI เข้ามาเชื่อมต่อกับ THP Core เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ดีขึ้นและถูกลง เป้าหมายคือการยกระดับความสามารถในการจัดส่งให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำ เช่น จีน ที่พูดถึงการจัดส่งแบบ Half Day Delivery องค์กรจำเป็นต้องมี ความยืดหยุ่น (Resilience) พอที่จะรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่ไม่คาดคิด เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

"การสร้าง "Tech Engine" หรือบริษัทย่อยด้านเทคโนโลยีของไปรษณีย์ไทย เปรียบเสมือนการสร้างทีมฟุตบอลอาชีพที่แยกตัวออกมาจากสโมสรหลัก เพื่อให้สามารถดึงดูดนักเตะดาวรุ่ง (Talent) ที่มีค่าตัวสูงได้โดยไม่ต้องผูกติดกับเพดานเงินเดือนของหน่วยงานราชการ และยังสามารถนำความสามารถของทีมชุดนี้ไปรับงานหรือสร้างรายได้จากภายนอกได้อีกด้วย โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการทำให้สโมสรหลัก (ไปรษณีย์ไทย) แข็งแกร่งขึ้น" ผู้บริหารไปรษณีย์ไทย กล่าวย้ำ

COMMENTS