29 ต.ค. 2568 763 0

TRUE ควบรวมโครงข่ายสำเร็จ 100% ก้าวสู่ ‘One Network’ ยกระดับมาตรฐาน 5G แรงกว่าเดิม 80%

TRUE ควบรวมโครงข่ายสำเร็จ 100% ก้าวสู่ ‘One Network’ ยกระดับมาตรฐาน 5G แรงกว่าเดิม 80%

กลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น (True Corporation) ประกาศความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ในการควบรวมโครงข่ายโทรคมนาคมระหว่างทรู (TruemoveH) และดีแทค (dtac) เสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว และเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยโครงการนี้ใช้เวลากว่า 2 ปีครึ่งตั้งแต่เริ่มต้นการพูดคุยเรื่องการควบรวม ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ถือเป็น "Major Milestone" ที่นำไปสู่การเป็น "One Network" และการปลดล็อกคลื่นความถี่ 8 ย่าน ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศ

พร้อมกันนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ยกระดับมาตรฐาน 5G ด้วยการทดสอบ Proof of Concept (POC) การรวมคลื่น 2600 MHz และ 2300 MHz ซึ่งผลการทดสอบแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเดิมราว 80% ตอกย้ำภาพผู้นำเครือข่ายด้วยยุทธศาสตร์ 3 เสาหลัก ควบคู่ไปกับการเปิดตัวแนวคิด 'POWER UP NATION’S SMILE พร้อม! UP สัญญาณ UP ความสุข' เพื่อสร้างความมั่นใจและส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีขึ้นให้กับคนไทย


ภารกิจรวมโครงข่ายที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ของทรู คอร์ปอเรชั่น หลังควบรวม

โครงการควบรวมโครงข่ายภายใต้แนวคิด “One Network” ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างสูงจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องกว่า 3,650 คน ซึ่งประกอบด้วยวิศวกรและช่างเทคนิคจากทั้ง True และ Suppliers/Partners ความท้าทายหลักคือการจัดการความซับซ้อน ตั้งแต่การวางแผน "Grid" ของเครือข่ายเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงการทับซ้อนหรือรบกวนของเสาสัญญาณที่อยู่ใกล้กัน จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการควบรวมจริง ซึ่งรวมถึงการจัดการเส้นทาง Fiber Optic และการตัดสินใจรื้อถอนหรือย้ายอุปกรณ์

ตลอดระยะเวลาของโครงการ ต้องใช้เวลาทำงานรวมทั้งสิ้นกว่า 17 ล้านชั่วโมง และเป็นโครงการที่ต้องใช้พละกำลังอย่างสูง เนื่องจากช่างเทคนิคต้องปฏิบัติงานในพื้นที่จริงด้วยการปีนเสาสัญญาณ ระยะทางรวมของการปีนขึ้นและลงของบุคลากรในการติดตั้ง ปรับปรุง และรื้อถอนอุปกรณ์ตลอดโครงการวัดได้รวมทั้งสิ้น 2,000 กิโลเมตร ในที่สุด โครงการนี้ก็ประสบความสำเร็จครบถ้วนทุกเสา 100%



ประโยชน์มหาศาลสำหรับลูกค้า 47.5 ล้านรายทั่วประเทศ

การควบรวมโครงข่ายครั้งนี้สร้างประโยชน์ที่ชัดเจนให้กับฐานลูกค้าของทรูและดีแทคที่มีอยู่รวมกันกว่า 47.5 ล้านคน



ประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ 'One Network' ว่า ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยครั้งสำคัญ หัวใจหลักของโครงการคือการยกระดับเครือข่ายสู่ความทันสมัย (Network Modernization) โดยได้ผสานเสาสัญญาณและโครงสร้างพื้นฐานของทั้งสองเครือข่ายเป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งเลือกใช้เสาสัญญาณที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดเพื่อรองรับการใช้งานในปัจจุบันและอนาคต



ประโยชน์ด้าน Coverage และความเร็ว:

  • ความครอบคลุม (Coverage): ลูกค้าดีแทคจะเห็นจำนวนเสาสัญญาณเพิ่มขึ้นถึง 70% ซึ่งถือเป็นประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุด ขณะที่ลูกค้าทรูจะเห็นจำนวนเสาสัญญาณเพิ่มขึ้น 25% ทำให้ปัจจุบันเครือข่ายมี Coverage ทั่วประเทศอยู่ที่ 94% และครอบคลุมสูงถึง 99% ในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น กรุงเทพฯ และ EEC
  • ความเร็ว 5G: ลูกค้าดีแทคจะเห็นความเร็ว 5G เพิ่มขึ้น 4 เท่า เนื่องจากเดิมดีแทคใช้คลื่น 700 MHz สำหรับ 5G ซึ่งความเร็วไม่สูงนัก แต่การรวมโครงข่ายทำให้สามารถเข้าถึงคลื่น Mid-band ได้ ส่วนลูกค้าทรูจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นเมื่อมีการอัปเดตคลื่น 2600 MHz และ 2300 MHz เข้าไปในเสาสัญญาณ
  • ประสิทธิภาพรวม: ในภาพรวม ประสบการณ์ของลูกค้าดีแทค (4G) ดีขึ้นถึง 4.4 เท่าตัว นับตั้งแต่เปิดบริษัทมา และเมื่อมีการทำ Carrier Aggregation (CA) จะทำให้ความเร็วในการดาวน์โหลดทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 23% และอัปโหลดเพิ่มขึ้น 26%



ปลดล็อกคลื่น 8 ย่านความถี่: 5G มาตรฐานใหม่ที่แรงกว่าเดิม 80%

กลุ่มทรูได้ประกาศเดินหน้าสู่ภารกิจใหม่ในการยกระดับมาตรฐาน 5G อย่างต่อเนื่อง โดยทำการทดสอบ Proof of Concept (POC) การรวมคลื่นความถี่ 2600 MHz และ 2300 MHz เข้าด้วยกันด้วยเทคโนโลยี Carrier Aggregation (CA) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของโครงข่ายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผลการทดสอบพบว่าการรวมคลื่นทั้งสองความถี่นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ได้เหนือกว่าเดิมประมาณ 80% ซึ่งนับเป็นหมุดหมายที่สำคัญของมาตรฐานใหม่ 5G ก่อนหน้านี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นได้เปิดใช้งาน 5G คลื่น 2600 MHz เต็มแบนด์วิดท์ 90 MHz ในบางพื้นที่ ซึ่งให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นประมาณ 50%


ประเทศ อธิบายเพิ่มเติมว่า ทรู คอร์ปอเรชั่นยังใช้เทคโนโลยี 'Spectrum Pooling' ผสานคลื่นความถี่สำคัญเข้าด้วยกัน ทำให้ลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคสามารถใช้ทรัพยากรเครือข่ายร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ส่งผลให้ได้สัญญาณที่แข็งแกร่ง ความเร็วที่เพิ่มขึ้น และประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั่วประเทศ

กลุ่มทรูมี Portfolio คลื่นความถี่ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย รวม 8 ย่านความถี่ ทำให้สามารถให้บริการทั้ง 4G และ 5G ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่มีการลดทอนคุณภาพสัญญาณ



ความได้เปรียบของคลื่นความถี่หลัก

  1. Mid-Band (คลื่นหลักสำหรับ Speed): มีคลื่น 2600 MHz และ 2300 MHz รวมกันเป็น 160 MHz ซึ่งถือว่ามีปริมาณคลื่นมากที่สุดกว่าคู่แข่ง การรวมคลื่น 2600 และ 2300 เข้าด้วยกันผ่านเทคนิค CA จะช่วยเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลดได้อย่างมาก
  2. ความเร็วสูงสุด: จากการทดสอบ 5G SA (Standalone) บนเทคโนโลยี Carrier Aggregation ของคลื่น 2600 MHz และ 2300 MHz สามารถทำความเร็ว Download ได้สูงสุดถึง 1.7-1.8 Gbps และแม้แต่การใช้งานบนเครื่องมือถือภายใต้สภาพที่มีผู้ใช้งานจริง (Load) ก็ยังทำความเร็วได้เกิน 1 Gbps
  3. Low-Band (คลื่นหลักสำหรับ Coverage): มีคลื่น 700 MHz รวมกัน 20 MHz (เดิม True และ Dtac มีคนละ 10 MHz) ซึ่งมีปริมาณเท่ากับคู่แข่ง
  4. คลื่น 1500 MHz (Supplementary Downlink - SDL): คลื่นนี้ใช้สำหรับการ Downlink เท่านั้น และจะเข้ามาเสริม Low-Band (700 MHz) โดยจะช่วยเพิ่มความเร็ว Downlink ให้กับ Coverage ที่กว้างไกลของคลื่น 700 MHz


ขับเคลื่อนด้วย 3 กลยุทธ์หลัก Reliability, Superiority, และ Innovation

หลังการควบรวมสำเร็จ ทิศทางการดำเนินงานของกลุ่มทรูจะถูกขับเคลื่อนด้วยสามหลักการสำคัญ เพื่อยกระดับทั้งประสิทธิภาพเครือข่ายและประสบการณ์ลูกค้า

  1. Reliability (ความไว้วางใจได้/ความน่าเชื่อถือ): ลูกค้าต้องมั่นใจได้ว่าเครือข่ายและบริการจะพร้อมใช้งานและมีเสถียรภาพในทุกสถานการณ์
  2. Superiority (ความเป็นเลิศ): ต้องปรับปรุงและสร้างความแตกต่างด้วยคุณภาพ ความเร็ว และความครอบคลุมของสัญญาณ รวมถึงความเป็นเลิศในการบริการ
  3. Innovation (นวัตกรรม/ความคิดสร้างสรรค์): พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และคิดค้นสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อความเป็นเลิศในการบริการ


คูรัม อัชฟาค หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเครือข่าย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยให้ความสำคัญกับความไว้วางใจได้ (Reliability) เป็นอันดับแรก เรามั่นใจว่าเครือข่ายของเรามีเสถียรภาพ ความต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อลดระยะเวลากรณีปรับปรุงระบบ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความพึงพอใจของลูกค้าที่ดีขึ้น สำหรับความเป็นเลิศ (Superiority) เราพัฒนาโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ส่วนนวัตกรรม (Innovation) เรานำ AI มาขับเคลื่อนสำหรับการดำเนินงาน ด้วยการมอนิเตอร์เชิงคาดการณ์ ผ่านระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงข่ายทั่วประเทศ"

ทั้ง 3 กลยุทธ์นี้ถูกนำมาประสานร่วมกัน เพื่อให้มั่นใจว่าทรู คอร์ปอเรชั่น ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า แต่ยังเกินความคาดหมาย โดยมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อรักษาคุณภาพของเครือข่าย และความเป็นผู้นำในการส่งมอบบริการดิจิทัลที่เหนือกว่า ในด้านนวัตกรรม มีการใช้ AI และ Machine Learning (ML) ในศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operation Center) เพื่อค้นหารูปแบบปัญหาและวิเคราะห์แนวโน้มประสบการณ์ลูกค้า


ยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ True CyberSafe และ Safety by Default

นอกเหนือจากการเพิ่ม Speed และ Coverage แล้ว ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังให้ความสำคัญกับมิติความปลอดภัยของลูกค้าอย่างยิ่งยวด ทรูเป็นผู้ให้บริการรายแรกและรายเดียวในอาเซียนที่ติดตั้งระบบ "Safety by Default"

ในยุคที่เต็มไปด้วยเศรษฐกิจการหลอกลวง (Scam Economy) และการคุกคามจากสแกมเมอร์ ระบบ Safety by Default ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องลูกค้าเกือบ 50 ล้านราย โดยใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงในการตรวจจับ บล็อก และแจ้งเตือนภัยคุกคามทางไซเบอร์แบบเรียลไทม์ ระบบนี้ได้ทำการบล็อกลิงก์อันตรายไปแล้วกว่า 2,500 ล้านลิงก์ ทั้งจาก SMS และ Web link ข้อมูลผู้คุกคามจะถูกซิงค์กับเครือข่ายและระบบ IT เพื่อให้การป้องกันมีประสิทธิภาพสูงสุด การเพิ่มความปลอดภัย (Safety) เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญนอกเหนือจาก Speed และ Coverage ทำให้เครือข่ายของทรูมีคุณสมบัติระดับ Premium

นอกจากนี้ การมีจำนวนเสาสัญญาณที่เพิ่มขึ้นยังมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ ช่วยให้ทรูสามารถออกแบบ Coverage ได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการยิงสัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (Spill Over) บริเวณชายแดนตามข้อกำหนดของ กสทช.

‘POWER UP NATION’S SMILE’ แนวคิดที่ส่งมอบความสุขและความห่วงใย

จากความสำเร็จในการควบรวมโครงข่าย กลุ่มทรูได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ภายใต้แนวคิด "Power Up Nation Smile" (อัพสัญญาณ อัพความสุข) โดยเน้นย้ำว่ารอยยิ้มของลูกค้าคืออันดับหนึ่ง ปณิธานนี้มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อสร้างคุณค่าให้กับทุกกลุ่มลูกค้าและสังคม


โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "สำหรับทรู คอร์ปอเรชั่น เราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่แท้จริงไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วหรือคลื่นความถี่ แต่คือ พลังแห่งการเชื่อมต่อที่ส่งต่อความห่วงใยและความสุขให้กับผู้คน เพราะเบื้องหลังทุกสัญญาณที่แรงขึ้น คือความตั้งใจที่จะทำให้ชีวิตของคนไทยดีขึ้นในทุกวัน แนวคิด ‘POWER UP NATION’S SMILE พร้อม! UP สัญญาณ UP ความสุข’ จึงเกิดจากความเชื่อมั่นในเครือข่ายที่แข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และเข้าใจผู้คนมากขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์แห่งความสุขที่ดียิ่งขึ้น ตลอดปีนี้ เราพร้อมเติมพลังความสุขให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายมิติ ทั้งการสื่อสาร การดูแลลูกค้าในแคมเปญ ‘ยิ่งอยู่นาน ยิ่งรักกัน’ กิจกรรมพิเศษร่วมกับพันธมิตร และการปรับโฉมจุดบริการต่างๆ เพื่อยกระดับทุกทัชพอยต์ให้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม"

การสื่อสารการตลาดนับจากนี้ไปจะไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ตัวเลข (Speed Game หรือ Stability) เท่านั้น แต่จะเน้นที่การส่งมอบคุณค่าและความสุขให้กับลูกค้ามากที่สุด


การยกระดับประสบการณ์พิเศษและบริการลูกค้า

กลุ่มทรูจะยกระดับสิทธิพิเศษและประสบการณ์ลูกค้าผ่านซีรีส์ใหม่ ตัวอย่างแคมเปญที่เน้นความสุขของลูกค้าปัจจุบัน ได้แก่:

  • “ยิ่งอยู่นานยิ่งรักกัน”: ลูกค้าที่ใช้บริการนานสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น การกินฟรีไอศกรีม
  • คอนเทนต์และความบันเทิง: การเปิดตัวคอนเทนต์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคนไทยมากขึ้น เช่น กิจกรรม Fan Meet และ Mini Concert กับศิลปิน

นอกจากนี้ ทรูยังให้ความสำคัญกับการออกแบบประสบการณ์ในร้านค้าปลีก (Innovative Retail Experience) โดยเชื่อว่า Experience คือ Branding ใหม่ ตัวอย่างเช่น ที่ True Sphere พารากอน ซึ่งเป็นร้านที่ออกแบบใหม่และมีการจัดแสดงรถ EV พร้อมเครื่องมือ AI ให้ลูกค้าเล่นสนุกได้ฟรี

ในช่วงเทศกาลคนละครึ่ง กลุ่มทรูได้นำเสนอแพ็กเกจลดราคาครึ่งหนึ่ง (100 GB ในราคา 250 บาท) และข้อเสนอโทรศัพท์มือถือ 5 รุ่นยอดนิยมเริ่มต้นเพียง 999 บาท


ความก้าวหน้าทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ความสำเร็จในการควบรวมโครงข่ายครั้งนี้ถือเป็นการยกมาตรฐานครั้งใหญ่ที่สุดของวงการโทรคมนาคม และเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มทรูในการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สัญญาณ True 5G เป็น "สัญญาณแห่งการรับใช้ประเทศ"