โดย ฐิตพล บุญประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย เดลล์ เทคโนโลยีส์
ลองจินตนาการดูว่าหากองค์กรต้องสูญเงินกว่า 2.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อมูลสำคัญที่สุดกว่า 2.45 เทราไบต์ถูกเปิดเผย และยังต้องหยุดทำงานเกินหนึ่งวันเต็มโดยที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า
เหล่านี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายของต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน เมื่อรายได้ดิจิทัลเติบโตขึ้น
ความถูกต้อง ความพร้อมใช้งาน และความปลอดภัยของข้อมูลจึงกลายเป็นประเด็นที่สำคัญเร่งด่วนสำหรับผู้บริหารระดับสูง
โดยเฉพาะในเวลาที่หลายองค์กรต่างเร่งนำเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้
โดยองค์กรต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างมากจากการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ และมักจะแก้ไขปัญหาด้วยการจ่ายเงินค่าไถ่ที่มีมูลค่าสูง
แม้ว่าการจ่ายเงินส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้ประกันภัยไซเบอร์ แต่องค์กรส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องแบกรับภาระทางการเงินบางส่วนด้วยตัวเอง
โดยมีเพียง 36% ขององค์กรเท่านั้นที่รายงานว่าประกันภัยไซเบอร์จ่ายชดเชยการค่าไถ่ได้เต็มจำนวน
ขณะที่มีองค์กร 38%
ได้รับความคุ้มครองเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางการเงินที่สำคัญ เพราะการชดเชยที่ไม่ครอบคลุม
ทำให้องค์กรยังคงต้องแบกรับค่าใช้จ่ายบางส่วนด้วยตนเอง
แม้ว่าจะมีประกันไซเบอร์อยู่แล้วก็ตาม
นอกจากนี้ องค์กรจำนวน 14%
เลือกที่จะจ่ายค่าไถ่ด้วยเงินของตัวเองโดยตรงโดยไม่ผ่านกรมธรรม์ประกันภัย
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งในการฟื้นฟูเพื่อให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานได้โดยเร็วที่สุด
ท้ายที่สุด มีแค่เพียง 10%
ขององค์กรในภูมิภาคเท่านั้นที่สามารถกู้คืนข้อมูลได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่
ซึ่งชี้ชัดว่าการจ่ายเงินยังคงเป็นกลยุทธ์หลักที่ใช้กันมากที่สุดในการรับมือกับการโจมตีเหล่านี้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี
2568 การจารกรรมทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าที่การเมืองและเศรษฐกิจยังคงทวีความรุนแรง
โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (State-Sponsored
Groups) ซึ่งมุ่งเป้าโจมตีที่ภาครัฐ
การผลิต โทรคมนาคม และภาคสื่อในหลายประเทศทั่วภูมิภาค สะท้อนให้เห็นจากสถิติภัยคุกคามทางไซเบอร์ในประเทศไทย (มกราคม
- สิงหาคม 2568) ที่พบว่า
วิธีการโจมตีที่พบบ่อยที่สุดคือ การพยายามบุกรุกระบบ (Intrusion Attempts) โดยหน่วยงานที่ถูกโจมตีมากที่สุดได้แก่ ภาครัฐ รองลงมาคือ
ภาคการศึกษา และภาคธนาคารและการเงิน
ในช่วงปี 2566-2567
องค์กรกว่าครึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต้องเผชิญกับการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์รูปแบบต่างๆ จึงนำมาสู่คำถามสำคัญว่า องค์กรจะปกป้องระบบและข้อมูลที่เป็นพลังขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้จริงหรือไม่
และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าธุรกิจจะยังคงดำเนินต่อไปได้เมื่อถูกโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้? คำตอบและแนวทางป้องกันที่ดีที่สุดขององค์กรอยู่ที่การเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โดยเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรในการคาดการณ์ รับมือ กู้คืน รวมถึงปรับตัวต่อเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์
การสร้างระบบป้องกันข้อมูลที่แข็งแกร่ง
ในโลกดิจิทัลที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ความปลอดภัยของข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ โดยรายงานของไอดีซี ระบุว่า การไม่สามารถแยกระบบออกจากเครือข่ายได้ดีพอ (insufficient air
gapping)
และการขาดระบบสำรองข้อมูลที่มั่นคงและปลอดภัย (immutable backups) คือสองในสามของสาเหตุหลักที่ทำให้องค์กรต้องจ่ายค่าไถ่เมื่อถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์
การสร้างระบบป้องกันข้อมูลที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ
โดยต้องครอบคลุมสี่องค์ประกอบหลักด้วยกัน ได้แก่
· ความเร็วในการปกป้องชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
·
ความสามารถในการกู้คืนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการลดข้อมูลซ้ำซ้อนในตัว
· การปกป้องเวิร์กโหลดสมัยใหม่ได้ครอบคลุมทุกสภาพแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็นระบบภายในองค์กร (on-premises) ระบบเสมือน (virtual)
และมัลติคลาวด์ (multi-cloud)
· โซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อให้ทำงานได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ประหยัดต้นทุน และสามารถขยายเพื่อรองรับการเติบโตได้
ตัวอย่างของมาตรการที่จำเป็นในการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ได้แก่ การยกระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ผ่านระบบอัตโนมัติด้วยฟีเจอร์ความปลอดภัยแบบ
zero trust เช่น การสำรองข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้
(immutability) การเข้ารหัส (encryption) การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (multi-factor authentication) และการกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงตามบทบาทหรือหน้าที่
(role-based access controls) มาตรการเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
เนื่องจากการนำ AI มาใช้อาจสร้างความเสี่ยงใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ
ซึ่งมาตรการดังกล่าวนอกจากจะให้ทางเลือกในการกู้คืนระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องระบบจากแรนซัมแวร์และภัยคุกคามทางไซเบอร์แล้ว
ยังช่วยลดเวลาในการกู้คืนระบบได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความเป็นจริงรูปแบบใหม่ ในยุคที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง
ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
ช่วยให้องค์กรสามารถเสริมแกร่งการป้องกัน พร้อมรักษาความคล่องตัวในการกู้คืนระบบเมื่อเกิดการโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าองค์กรจะมีความพร้อมด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์หรืออยู่ในภาคอุตสาหกรรมใดก็ตาม
และเป็นที่น่ายินดีที่องค์กรในเอเชียแปซิฟิกกำลังเป็นผู้นำในเรื่องนี้ โดยมีองค์กรถึง 59% กำลังมองหาการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญนอกองค์กร นับเป็นก้าวแรกสู่การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ความท้าทายหลักที่ต้องเผชิญในโลกไซเบอร์ยุคใหม่
· พื้นที่เสี่ยงต่อการโจมตีที่ขยายตัวมากขึ้น โดยแอปพลิเคชัน GenAI จะสร้างช่องทางใหม่ๆ
สำหรับการโจมตีทางไซเบอร์ ตั้งแต่การปลอมแปลงหรือบิดเบือนข้อมูล (data poisoning) การละเมิดความเป็นส่วนตัว
(privacy breaches) ไปจนถึงการโจมตีด้วยการหลอกลวงทางสังคมอย่างแยบยล
(sophisticated social engineering)
ด้วยเหตุนี้โซลูชันการปกป้องข้อมูลจึงต้องช่วยลดผลกระทบจากข้อมูล AI ที่ถูกโจมตีหรือถูกบิดเบือนได้
· ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัย เป็นที่น่าตกใจว่า พนักงานเกือบสามในสี่มีความเข้าใจผิดว่า
องค์กรสามารถจ่ายเงินค่าไถเพื่อกู้คืนข้อมูลทั้งหมดและกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ
ซึ่งความมั่นใจเกินจริงเช่นนี้ถือเป็นช่องโหว่ที่อันตรายอย่างยิ่ง
·
ความคุ้มครองจากประกันที่มีข้อจำกัด
แม้ว่าการประกันภัยสำหรับการโจมตีจากแรนซัมแวร์จะเป็นเรื่องปกติ
แต่ในความจริงมักมีเงื่อนไขและข้อจำกัดมากมาย ทำให้องค์กรยังคงมีความเสี่ยงทางการเงินสูง
โดยเกือบครึ่งของกรมธรรม์ประกันภัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้ความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอ
ไม่สามารถรองรับความเสียหายทางการเงินทั้งหมดที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ได้
·
ระบบเครื่องมือที่ซับซ้อนและการพึ่งพาคลาวด์สาธารณะ
องค์กรจำนวนมากต้องเผชิญกับเครื่องมือและโซลูชันสำรองข้อมูลที่มีความซับซ้อน
โดยยอมรับว่าต้องมีการปรับปรุงหรืออัปเกรดระบบให้มีประสิทธิภาพ สถานการณ์นี้ยิ่งทวีความซับซ้อนเมื่อองค์กรต่างพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะมากขึ้นในการปกป้องข้อมูล ทั้งที่ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยอยู่ก็ตาม หลายองค์กรถึงกับพิจารณาว่าจะย้ายเวิร์กโหลดกลับมาไว้ที่ระบบภายในองค์กร
(on-premises) แต่ยังขาดความเชี่ยวชาญในการดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อุดช่องโหว่ เสริมเกราะป้องกันการลงทุนด้าน AI
การเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่แท้จริงต้องเริ่มจากผู้บริหารระดับสูง
เรื่องนี้ควรถูกยกให้เป็นวาระสำคัญในการประชุมคณะกรรมการบริหาร และมีความสำคัญเทียบเท่ากับการบริหารความเสี่ยงทางการเงินหรือกลยุทธ์ทางการแข่งขัน
ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ กำหนดกรอบเวลาให้ชัดเจน และบูรณาการแนวคิดด้านความปลอดภัยและความยืดหยุ่นในทุกระดับขององค์กร
แนวทางดังกล่าวจะช่วยเสริมศักยภาพให้พนักงานทุกคนตระหนักถึงบทบาทของตนเอง และสร้างความรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
องค์กรอย่าง เดลล์ เทคโนโลยีส์ ให้การสนับสนุนหลักการแบบ Zero Trust โดยตระหนักดีว่าภัยคุกคามไซเบอร์มีอยู่รอบด้าน
และจำเป็นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยตลอดวงจรการใช้เทคโนโลยี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
องค์กรสามารถนำกลยุทธ์สำคัญมาช่วยปรับปรุงผลลัพธ์การกู้คืนระบบอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น
งานวิจัยของ Forrester ระบุว่า Dell PowerProtect
Cyber Recovery สามารถช่วยลดระยะเวลาดาวน์ไทม์ได้ถึง 75% และลดเวลาในการกู้คืนระบบได้ถึง
80%
กลยุทธ์เหล่านี้
ได้แก่
· ลดพื้นที่เสี่ยงต่อการโจมตี ปกป้องความลับและความถูกต้องของข้อมูล ด้วยการสร้างสำเนาข้อมูลที่ล็อกไว้ (locked data copies) ซึ่งไม่สามารถลบหรือแก้ไขได้ รวมถึงใช้มาตรการควบคุมความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง เช่น ฮาร์ดแวร์ที่ตรวจสอบความถูกต้องของระบบตั้งแต่เริ่มบูต (hardware root of trust) ระบบบูตที่ตรวจสอบความถูกต้องของซอฟต์แวร์ก่อนทำงาน (secure boot) การเข้ารหัส (encryption) การล็อกไฟล์หรือข้อมูลไม่ให้ถูกลบ (retention lock) การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงตามบทบาทและหน้าที่ (role-based access controls) และ การยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (multi-factor authentication)
บทสรุป
เมื่อมีการพึ่งพาบริการคลาวด์ สภาพแวดล้อมแบบไฮบริด และ GenAI มากขึ้น การปกป้องโลกดิจิทัลก็ซับซ้อนมากขึ้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความพร้อมด้าน AI กลายเป็นมาตรฐานของความคาดหวังทางธุรกิจ
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศต้องมั่นใจได้ว่าแพลตฟอร์มขององค์กรสามารถใช้
AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่กระทบต่อการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ
ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแท้จริง
องค์กรต้องก้าวข้ามความปลอดภัยเชิงรับไปสู่การป้องกันเชิงรุก โดยยอมรับว่าความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์คือกลยุทธ์สำคัญทางธุรกิจ
เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจจะดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถรับมือกับความท้าทายในยุคของ
AI ได้อย่างมั่นใจ