21 ต.ค. 2568 160 0

Liquid Cooling นวัตกรรม Game Changer อุตฯ ดาต้าเซ็นเตอร์ เปิดทางโอกาสใหม่ ดันไทยบนแผนที่ AI Hub ของโลก

Liquid Cooling นวัตกรรม Game Changer อุตฯ ดาต้าเซ็นเตอร์ เปิดทางโอกาสใหม่ ดันไทยบนแผนที่ AI Hub ของโลก


โดย ทิวา เพ็ชรรัตน์ รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย)


AI กำลังเปลี่ยนโลกในทุกมิติ ในขณะที่ทุกประเทศในเอเชียเวลานี้ต่างแข่งขันกันเพื่อให้ตัวเองก้าวไปเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม AI คำถามที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ "AI จะมาเปลี่ยนทุกอุตสาหกรรมได้จริงหรือ?" แต่ยังเกิดการตั้งคำถามว่า "ประเทศใด ที่จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมไปสู่การเป็นผู้นำขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้?" สำหรับประเทศไทย นี่คือโอกาสสำคัญที่เราจะพลาดไม่ได้ โอกาสที่เราจะใช้จุดแข็งที่มีอยู่ ผลักดันตัวเองให้ก้าวไปสู่เป้าหมายอันดับหนึ่งของอาเซียน ด้วยการเป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลหลักของ AI

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของการก้าวสู่ยุคดิจิทัล ตอนนี้เรามีดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้บริการอยู่มากกว่า 55 แห่ง [1] นอกจากนั้นยังมีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางอาเซียน, เครือข่ายเคเบิลใต้น้ำที่แข็งแกร่ง และนโยบายส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่พร้อมสนับสนุนการลงทุน พื้นฐานเหล่านี้ทำให้ฐานรากของเรามีความพร้อมสูงมาก และแข็งแกร่งพอที่จะรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขั้นสูงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สอดคล้องกับข้อมูลจาก DC Byte [2] ที่ระบุว่า กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกำลังไฟฟ้าที่สามารถรองรับ IT Workload กว่า 2.5 กิกะวัตต์ ทำให้กรุงเทพฯ ​ขึ้นมาเป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาครองจากรัฐยะโฮร์ ของมาเลเซีย และที่น่าสนใจมากกว่านั้น คาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพิ่มสูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะผลักดันให้กำลังการผลิตไฟฟ้าพุ่งไปที่ 500 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าสามเท่าของตัวเลขกำลังการผลิตไฟฟ้า ณ ปัจจุบันที่มีอยู่ราว 157 เมกะวัตต์ การเติบโตเหล่านี้ล้วนเป็นฐานสำคัญที่สนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคทั้งในด้านการประมวลผลและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

AI ขุมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

AI ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องแล็บอีกต่อไป วันนี้ AI เปลี่ยนชีวิตประจำวันและปรับโฉม เพิ่มประสิทธิภาพให้กับอุตสาหกรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นระบบการเงิน, โลจิสติกส์, การวินิจฉัยโรค ไปจนถึงการผลิตชั้นสูง AI กำลังผลักดันความต้องการพลังงานสำหรับการประมวลผลให้สูงขึ้นไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้สร้างความท้าทายทั้งเรื่องการใช้พลังงานและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับประเทศที่สามารถสร้างไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ที่แข็งแกร่งและมีความพร้อมรับอนาคตได้

รับมือความท้าทายด้านพลังงานและความร้อนที่เกิดจาก AI

การประมวลผล AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล ซึ่งแร็ค (Rack) เซิร์ฟเวอร์ AI ประสิทธิภาพสูงเพียงแร็คเดียวสามารถใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 30 กิโลวัตต์ [3] เทียบได้กับการใช้ไฟฟ้าของบ้านเรือน 30-50 หลังคาเรือน และในอนาคตตัวเลขนี้อาจพุ่งไปที่ 100 กิโลวัตต์ต่อแร็ค

การใช้พลังงานระดับนี้สร้างความร้อนมหาศาล และโดยเฉพาะท่ามกลางสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทยยิ่งเป็นความท้าทาย ซึ่งระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิมถึงขีดจำกัด และจำเป็นต้องหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาจัดการ ทั้งนี้ Gartner ยกให้เทคโนโลยี "Liquid-Cooled” เป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานในปี 2025 [4] ตอกย้ำว่าเทคโนโลยีนี้จะมีบทบาทสำคัญในดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่แน่นอน

ทำไม Liquid Cooling จึงสำคัญ?


เทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวจะทำหน้าที่ดูดซับความร้อนจากตัวชิปประมวลผลได้โดยตรงด้วยของเหลวพิเศษ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อนสูงกว่าระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมถึง 1,000 เท่า [5] เทคโนโลยีนี้รองรับการประมวลผล AI ที่สร้างความร้อนสูง โดยใช้ของเหลวน้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบทำความเย็นแบบเดิม และยังยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ด้วยเทคนิคการจัดการอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“Liquid Cooling ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีจัดการความร้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย จากข้อมูลของ Statista คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ความต้องการกำลังไฟฟ้าสำหรับ AI workload ทั่วโลกเพียงอย่างเดียว จะเพิ่มขึ้นเป็น 156 กิกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าของปี 2025 [6] การมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูง จะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการขับเคลื่อนนวัตกรรม AI พร้อมรักษาความยั่งยืน ด้านพลังงานไปพร้อมกัน" ทิวา เพ็ชรรัตน์ รองประธานกรรมการ บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าว

เพิ่มประสิทธิภาพให้หลาย ๆ อุตสาหกรรม

ประสิทธิภาพของ Liquid Cooling ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโครงสร้างพื้นฐาน การทำให้ AI Workload ทำงานได้เต็มสมรรถนะอย่างต่อเนื่องนั้นเปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายภาคส่วน อาทิ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับการทุจริต การประเมินความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ และการตรวจสอบธุรกรรมสำหรับภาคการเงิน หรือสำหรับภาคการผลิตก็จะเป็นการซ่อมบำรุงร้กษาเชิงคาดการณ์และการควบคุมคุณภาพขั้นสูง หรือในภาคค้าปลีกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังอัจฉริยะและเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตรที่สามารถสร้างโมเดลเกษตรแม่นยำ (Precision Farming ) ที่นำเทคโนโลยีมาผสมผสานเพื่อการเกษตรยุคดิจิทัล รวมถึงใช้พยากรณ์อากาศ อีกทั้งในด้านการแพทย์และสาธารณสุขกับการประมวลผลภาพทางการแพทย์ด้วย AI เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น 

สำหรับประเทศไทยแล้วเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่การเพื่อปริมาณดาต้าเซ็นเตอร์ให้เร็วขึ้นในตลาด แต่ยังเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นกระดูกสันหลังให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่การเงินจนไปถึงสาธารณสุขใช้ประโยชน์จาก AI ที่ต้องการพลังประมวลผลขั้นสูงได้เต็มศักยภาพ

ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยี Liquid Cooling ในดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย STT GDC Thailand มองว่าการลงทุนครั้งนี้คือพันธกิจสำคัญต่ออนาคตของประเทศ เป็นมากกว่านวัตกรรมระบายความร้อน แต่ยังเป็น Game Changer ของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยเร่งการขับเคลื่อนการเติบโตของ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และสร้างการเติบโตให้กับประเทศอย่างยั่งยืน


Footnote: 

·        Source [1]: Thailand Data Centers - 55 Facilities from 21 Operators

·        Source [2]: Market Analysis: Bangkok Rise as SEA’s next Data Center Hub

·        Source [3]: The Real Costs of AI | STT GDC

·        Source [4]: Gartner Identifies the Top Trends Impacting Infrastructure and Operations for 2025 

·        Source [5]: The Advantages of Liquid Cooling

·        Source [6]: Data center power demand from artificial intelligence (AI) and non-AI workloads worldwide from 2025 to 2030



 ทิวา เพ็ชรรัตน์

ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำที่คร่ำหวอดในวงการ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเกือบ 30 ปี ด้านการบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นที่รู้จักในด้านการขับเคลื่อนปรัชญาการทำงานที่ให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก และมีผลงานโดดเด่นในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทีมเพื่อส่งมอบบริการที่มีเสถียรภาพและเปี่ยมด้วยนวัตกรรม

ทิวาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการเปิดตัวโซลูชัน Direct-to-Chip Liquid Cooling ครั้งแรกของไทยเมื่อต้นปี 2568 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการโครงการที่ล้ำสมัยและยั่งยืนเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI 

ทิวาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมโทรคมนาคม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และปริญญาโทด้านการจัดการระบบสารสนเทศ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) มีผลงานเป็นที่ยอมรับในด้านการวางกลยุทธ์, การพัฒนาปรับปรุงองค์กร และการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในสายงานดาต้าเซ็นเตอร์