21 ต.ค. 2568 199 0

ไทยเจ้าภาพ! รมว.ดีอี ผนึกกำลัง ASEAN–UNESCO เปิดเวทีใหญ่ เร่งพัฒนา ‘กรอบธรรมาภิบาลแพลตฟอร์มดิจิทัล’ ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและความรับผิดชอบร่วมกัน

ไทยเจ้าภาพ! รมว.ดีอี ผนึกกำลัง ASEAN–UNESCO เปิดเวทีใหญ่ เร่งพัฒนา ‘กรอบธรรมาภิบาลแพลตฟอร์มดิจิทัล’ ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและความรับผิดชอบร่วมกัน


กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ได้ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก คือ สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) และองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) พร้อมด้วยโครงการ Global Initiative on the Future of the Internet (GIFI) ภายใต้สถาบัน European University Institute (EUI) จัดเวทีการประชุมครั้งสำคัญระดับภูมิภาค ภายใต้ชื่อ ‘ASEAN–UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platforms’ ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2568



การประชุมครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ในระดับภูมิภาคอาเซียน เพื่อรวมพลังจากหลายภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และองค์กรระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และหารือแนวทางการพัฒนาเชิงนโยบาย เพื่อกำหนด "อนาคตธรรมาภิบาลแพลตฟอร์มดิจิทัล" ซึ่งมุ่งเน้นการกำกับดูแลที่ต้องมีความโปร่งใส เป็นธรรม และมีธรรมาภิบาล การขับเคลื่อนดังกล่าวจะต้องยึดหลักสำคัญคือ สิทธิมนุษยชน ความปลอดภัย และความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ตามกรอบแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล


ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) ในฐานะประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ กล่าวว่า การจัดประชุมครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการผลักดันธรรมาภิบาลดิจิทัล ให้มีความสอดคล้องกับหลักการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเชื่อมโยงกับบริบทเฉพาะของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนไว้

รมว.ดีอี ย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งของมิติทางสังคมในการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลประเภทต่าง ๆ เช่น แอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซ เกมออนไลน์ แพลตฟอร์มคอนเทนต์ และชุมชนออนไลน์ ซึ่งบริการเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการทำธุรกรรมออนไลน์และการสร้างรายได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การขยายวงกว้างของการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลได้นำมาซึ่งความเสี่ยงและความท้าทายหลายด้าน ทั้งในระดับบุคคล ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค ปัญหาที่สำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขประกอบด้วย ปัญหาเนื้อหาผิดกฎหมาย, การฉ้อโกงและหลอกลวงออนไลน์, การบิดเบือนข้อมูล, ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน, รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูล (MIL)

ไชยชนก ระบุว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การเร่งดำเนินการเพื่อพัฒนา 'กรอบธรรมาภิบาลดิจิทัล' ที่เข้มแข็ง และการสร้าง กลไกการกำกับดูแลแพลตฟอร์มอย่างมีธรรมาภิบาล' ที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด โดยกลไกเหล่านี้ต้องมาจากการมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุมจากทุกภาคส่วน ภายใต้หลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน ความโปร่งใส และความรับผิดชอบร่วมกัน

รมว.ดีอี ได้เน้นย้ำถึงความพยายามของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย ETDA ในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ โดยได้มีการพัฒนากรอบแนวทางและกลไกที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการกำกับดูแลดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ

มาตรการสำคัญที่ถูกนำมาใช้คือ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมความโปร่งใสและการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยใช้กลไกการกำกับดูแลตนเอง (self-regulation) ที่เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการให้บริการที่เป็นธรรม โปร่งใส และมีความรับผิดชอบ

นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีส่วนร่วมในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ผ่านพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พระราชกำหนดบัญชีม้า” กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ต้องมีหน้าที่ระงับหรือลบข้อมูลเท็จ หรือข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการเสริมหลัก “ความรับผิดชอบในการดูแล” (Duty of Care) ของแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ยังคงเดินหน้าผลักดันการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scam) พร้อมกับการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพื้นฐานอย่างเสมอภาค เช่น อินเทอร์เน็ตและปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการยกระดับทักษะด้านการรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) และการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูล (Media and Information Literacy – MIL) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย รอบคอบ และมีความรับผิดชอบ



รมว.ดีอี สรุปว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและกำกับดูแลระบบนิเวศแพลตฟอร์มดิจิทัลให้มีความสมดุล ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยนโยบายเหล่านี้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ความปลอดภัยสาธารณะ และความเชื่อมั่นของประชาชน โดยสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ ที่เน้นผลลัพธ์เชิงรูปธรรมในระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่สำคัญตามกรอบนโยบายของรัฐบาล

"โลกดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยที่เทคโนโลยีและข้อมูลได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมไปในเวลาเดียวกัน ดังนั้น การพัฒนากรอบธรรมาภิบาลสำหรับบริการดิจิทัลจึงจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้กับการส่งเสริมนวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนแนวทางร่วมของอาเซียนในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล มุ่งสู่การสร้างตลาดดิจิทัลที่ยั่งยืน น่าเชื่อถือ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลในระดับภูมิภาค"

ในส่วนของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล (platform governance) ซึ่งเป็นความร่วมมือในอาเซียน มีการหารือในหลายประเด็น โดยมีองค์กรต่างๆ เช่น UNESCO (เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนและสังคม) และ UN (เน้นเรื่องกฎระเบียบและประสบการณ์ตลาดขนาดใหญ่) เข้ามาเกี่ยวข้อง

ความท้าทายของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่

1.  ปัญหาการจัดเก็บภาษี แพลตฟอร์มดิจิทัลหลายแห่งมีจำนวนผู้ใช้งานที่ใหญ่กว่าจำนวนประชากรของหลายประเทศ ทำให้ประเทศต่างๆ มีอำนาจในการต่อรองที่จำกัด ปัญหาการรั่วไหลของรายได้และการไม่สามารถจัดเก็บภาษีภายในประเทศได้ (เช่น กรณี Facebook) เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องแก้ไข เนื่องจากเศรษฐกิจดิจิทัลมีขนาดมหาศาล และรายได้ส่วนใหญ่ไหลออกนอกประเทศ

2.  การจัดการข่าวปลอม (Fake News) มีการหารือและขอความร่วมมือกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (เช่น TikTok และ Facebook) โดยพบว่า TikTok ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ปัญหาหลักในปัจจุบันคือกระบวนการในการรายงานและการยุติข่าวปลอมยังล่าช้ามาก

3.  ข้อเสนอต่อแพลตฟอร์ม รัฐบาลต้องการขอให้แพลตฟอร์ม (Facebook) สามารถจัดการกับเนื้อหาปลอมได้ทันทีเมื่อได้รับรายงาน โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่ล่าช้าของฝั่งรัฐบาล

4.  ค่าธรรมเนียม GP (E-commerce) แม้ว่าทางภาครัฐต้องการให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลดค่า GP แต่ได้รับข้อเสนอแนะกลับมาว่า แพลตฟอร์มไม่ต้องการใช้คำว่า "ลด GP" เพราะจะทำให้เพิ่มกลับไม่ได้ แต่จะพยายามดำเนินการเพื่อลดต้นทุน (reduce costs) หรือเพิ่มรายได้ให้ผู้ค้า แทน

การประชุมนี้ยังถูกยกให้เป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนในการแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมออกแบบแนวทางการกำกับดูแลที่เข้มแข็ง โปร่งใส และยั่งยืนสำหรับบริการดิจิทัลและแพลตฟอร์ม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของ 'พหุภาคี (Multistakeholder Spirit)' ที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของและร่วมรับผิดชอบในการกำหนดทิศทางของระบบนิเวศดิจิทัล


Maki Katsuno-Hayashikawa, Director of the UNESCO Liaison Office to ASEAN and the Regional Office in Jakarta ได้แสดงความยินดีที่ได้ร่วมมือกับประเทศไทย สำนักงานเลขาธิการอาเซียน และสถาบัน European University Institute (EUI) ในการจัดการประชุมครั้งสำคัญนี้ โดยกล่าวว่า ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของภูมิภาคในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ต้องเปิดกว้าง ปลอดภัย และยึดหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ

Maki Katsuno อธิบายว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทเชิงเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นอย่างยิ่งในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มเดียวกันนี้ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงความรู้และวัฒนธรรมอย่างเท่าเทียมและเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก ก็ได้กลายเป็นพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือน ความแตกต่างทางขั้วความคิด และการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง การเลือกปฏิบัติ และความเกลียดชังเช่นกัน ดังนั้น การกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยึดแนวทางที่อ้างอิงสิทธิมนุษยชนและพหุภาคี (Human Rights-Based and Multistakeholder Approach) เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีบทบาทในการร่วมออกแบบแนวทางแก้ไขร่วมกันในการขับเคลื่อน ‘Internet for Trust’ พร้อมเน้นย้ำว่า แนวทางแบบพหุภาคีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเข้าถึงข้อมูล UNESCO พร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ภูมิภาคอาเซียนก้าวสู่การเป็นต้นแบบของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และส่งเสริมความถูกต้องน่าเชื่อถือของข้อมูลข่าวสาร


H.E. Sujiro Seam, Ambassador of the European Union to ASEAN กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างอาเซียน โดยมีประเทศไทยเป็นผู้นำ และองค์การ UNESCO เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตของธรรมาภิบาลแพลตฟอร์มดิจิทัลบนพื้นฐานของค่านิยมร่วม เช่น ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความเชื่อมั่นในข้อมูลดิจิทัล ทูตสหภาพยุโรปประจำอาเซียนเน้นย้ำว่า ความท้าทายของโลกดิจิทัลในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งเท่านั้น การสร้างความร่วมมือระหว่างภูมิภาคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อร่วมกันวางกติกาที่ทันสมัยและเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วน

การประชุม ASEAN–UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platforms ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน (20–22 ตุลาคม 2568) ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก องค์กรระหว่างประเทศ และตัวแทนจากหลายภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์เชิงเปรียบเทียบภายใต้แนวคิดหลัก “Digital Governance for a Trusted Future” ในระหว่างการประชุม ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายเชิงลึกในประเด็นสำคัญหลากหลายด้าน อาทิ กรอบความร่วมมือระดับโลกและระดับภูมิภาคด้านธรรมาภิบาลดิจิทัล, การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและการแข่งขันทางการตลาดอย่างเป็นธรรม, ความโปร่งใสและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มดิจิทัล, ความปลอดภัยออนไลน์และการคุ้มครองเด็ก, การกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด (Generative AI) และเทคโนโลยีเกิดใหม่, การเสริมพลังให้ผู้ใช้และการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูล, ตลอดจนความร่วมมือของภาคประชาสังคมและระดับภูมิภาคเพื่อส่งเสริมสิทธิดิจิทัล



ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ การอภิปรายภายในเวทีมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาร่างข้อเสนอแนะการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลในอาเซียนอย่างมีธรรมาภิบาล (Draft Recommendations on Digital Platform Governance in ASEAN) ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในการเสริมสร้างกรอบความร่วมมือของภูมิภาคให้มีความรับผิดชอบ โปร่งใส และเปิดกว้าง เพื่อธรรมาภิบาลดิจิทัลที่ครอบคลุมและยั่งยืน

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย ETDA, สำนักเลขาธิการอาเซียน, UNESCO, และสถาบัน EUI ได้ร่วมกันยืนยันความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนแนวทางการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน (multistakeholder approach) และการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยความร่วมมือดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความถูกต้องน่าเชื่อถือของข้อมูล การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในโลกออนไลน์ และการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือในภูมิภาคต่อไป