29 ส.ค. 2568 32 0

CEA ชวนมองปรากฏการณ์คอนเทนต์ไทย กับ 'Content Lab' และ 'Music Exchange' โอกาสของคอนเทนต์ไทยบนเวทีโลก

CEA ชวนมองปรากฏการณ์คอนเทนต์ไทย กับ 'Content Lab' และ 'Music Exchange' โอกาสของคอนเทนต์ไทยบนเวทีโลก


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมคอนเทนต์และดนตรีของไทยได้กลายเป็นกระแสที่ต่างประเทศเริ่มจับตามอง วัดความสำเร็จได้ทั้งจากซีรีส์ทั่วไป, ซีรีส์ Boy love & Girl love และภาพยนตร์ไทยที่ได้รับการเสนอชื่อในเวทีนานาชาติ รวมถึงดนตรีของไทยหลากหลายแนว ที่ศิลปินไทยมีโอกาสได้ไปแสดงในเทศกาลดนตรีระดับโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่เพียงผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยไปสู่เวทีโลก แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จับต้องได้ และเป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงนานาชาติให้ก้าวเข้ามาสัมผัสและทำความรู้จักคอนเทนต์ที่สะท้อนความเป็นไทยมากขึ้น


รายงาน Global Entertainment & Media (E&M) Outlook ปี 2021 - 2025 ของ PwC ได้คาดการณ์รายได้รวมของกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงของไทยในปี 2568 ว่าจะอยู่ที่ 601,936 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 4.45% และทางด้านอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศไทยในตลาดโลกก็เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเติบโตขึ้น 6.32% จากปี 2022 และมีรายได้อยู่ที่ 3,610 ล้านบาท (107.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีขนาดตลาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ทำให้ไทยกลายเป็นผู้นำของตลาดเพลงในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันบูรณาการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทย ในกลุ่มภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน และดนตรี ผ่านโครงการสำคัญอย่าง “Content Lab” และ “Music Exchange” เพื่อให้คอนเทนต์และดนตรีของคนไทยกลายเป็นสินค้าและบริการที่ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมในระดับนานาชาติ


New Era for Thai Content “คอนเทนต์และดนตรีของไทย” ที่พร้อมมัดใจคนทั่วโลก 

ในช่วงปี 2567 - 2568 อุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ของไทย น่าจับตามองมากขึ้นทั้งในเชิงรายได้และการยอมรับในด้านแบรนดิ้ง โดยในปี 2567 จำนวนภาพยนตร์ไทยมีการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 15% สามารถทำรายได้รวมในประเทศถึง 2,438 ล้านบาทจากภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายรวม 54 เรื่อง และมีภาพยนตร์มากกว่า 8 เรื่องที่สามารถทำรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งทำให้ภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนรายได้มากถึง 54% จากมูลค่าตลาดรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทยที่มีมูลค่า 4,485 ล้านบาท ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ ภาพยนตร์ไทยเรื่องหลานม่า (How to Make Millions Before Grandma Dies) ที่ติดอันดับบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศไทย สามารถทำรายได้ทะลุ 333 ล้านบาท และกวาดรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกไปกว่า 1,800 ล้านบาททั่วโลก ตีตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ และทั่วเอเชีย ทั้งยังเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้เข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายของการประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) และวิมานหนามที่ทำรายได้ทะลุ 151 ล้านบาทพร้อมออกฉายไปยังเทศกาลหนังต่างๆ ระดับนานาชาติ อาทิ Toronto International Film Festival, Jakarta World Cinema, Hawai’i International Film Festival และรับรางวัลใหญ่ Audience Award / Best Feature Film จากเทศกาลภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกอย่าง LGBT+ Film Festival Poland 2025 ครั้งที่ 16  และสำหรับปี 2568 ภาพยนตร์ไทยก็มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่โดดเด่นในปีนี้คือ ซองแดงแต่งผีที่ได้ขึ้นแท่นหนังไทยที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท และบุกสร้างกระแสในตลาดภาพยนตร์ต่างประเทศ คว้ารางวัล Audience Choice Award จาก Hong Kong International Film Festival ครั้งที่ 49  และ A Useful Ghost ที่กลายเป็นจุดสนใจทันทีที่เปิดตัว คว้ารางวัล Grand Prize AMI Paris ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 78

ขณะเดียวกันช่วงที่ผ่านมา ซีรีส์ไทยก็สร้างกระแสไม่แพ้สายภาพยนตร์ ตัวอย่างที่โดดเด่น คือซีรีส์ สืบสันดาน ที่ออกฉายผ่านสตรีมมิงแพลตฟอร์ม Netflix กลายเป็นซีรีส์ไทยเรื่องแรกที่ติดอันดับ 1 ของ Netflix Global Top 10 (Non-English TV) และติด Top 10 ในกว่า 63 ประเทศทั่วโลก หรือเมื่อไม่นานมานี้ ซีรีส์สงครามส่งด่วนที่เป็นกระแส ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ได้ครองอันดับ 1 บนแพลตฟอร์ม Netflix ประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ และได้ผลตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ชมทั่วโลกอาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลลิปินส์ และเวียดนาม ทำให้สามารถยึดอันดับ 4 ในชาร์ต Global Top 10 (Non-English Shows) จาก Netflix ได้ทันทีในสัปดาห์แรกที่เปิดตัว  และอีกหนึ่งในหมวดหมู่ซีรีส์ที่มีอิทธิพลสำคัญในการขับเคลื่อนคอนเทนต์ให้ออกสู่สายตาสากลมากขึ้น คือ ซีรีส์ Boy Love & Girl love โดย SCB EIC ได้คาดว่าสัดส่วนของซีรีส์วายต่อมูลค่าการผลิตสื่อบันเทิงของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 0.7% ในปี 2019 เป็น 3.9% ในปี 2025 หรือเติบโตราว 17%YOY คิดเป็นมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 4,900 ล้านบาท และมีส่วนช่วยผลักดันอุตสาหกรรมบันเทิงไทยให้เติบโต โดยคาดว่าในปี 2568 จะขยายตัวราว 4.1%YOY มีมูลค่าอยู่ที่ 126,000 ล้านบาท หากให้เห็นภาพความฟีเวอร์ให้ชัดขึ้น ในปีนี้กระแสของวิถีวัยรุ่นสยาม ไวรัลทั้งในสากลและไทย เป็นหนึ่งในผลพวงมาจากซีรีส์ Boy love อย่าง Gelboys ที่ถ่ายทอดชีวิตวัยรุ่นสยามได้ตรงจริตวัยรุ่นเจเนเรชัน Z ทำให้ซีรีส์พุ่งทะยานติดอันดับ 1 ซีรีส์ไทยที่มียอดรับชมมากที่สุดบนสตรีมมิงแพลตฟอร์มจีน iQIYI พร้อมได้คะแนนจาก MyDramaList ไปถึง 8.5 จากรีวิวผู้ชมทั่วโลก สำหรับซีรีส์ Girl Love เองก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่กวาดหัวใจแฟนคลับทั้งไทยและต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ซีรีส์ใจซ่อนรัก (The Secret of love) ที่ติดเทรนด์ X อันดับ 1 ทั้งไทยและในหลายประเทศที่มีการพูดถึงมากกว่า 3 ล้านครั้ง ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้มีจุดร่วมเดียวกัน คือองค์ประกอบการเล่าเรื่อง บท การแสดง ทีมงานที่มีศักยภาพโปรดักชันที่แข็งแรงระดับมาตรฐานสากล และการแฝงกลิ่นอายวัฒนธรรมไทยเข้าไป จึงทำให้ภาพยนตร์         และซีรีส์ไทยสามารถเชื่อมโยงกับผู้ชมทั่วโลกได้อย่างทรงพลังนับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้คอนเทนต์ไทย มีพื้นที่ในตลาดสากลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่อุตสาหกรรมดนตรีของไทยในปี 2568 เรียกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและเดินสายสร้างกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพลงไทยไม่เพียงเป็นที่นิยมภายในประเทศ แต่ยังกลายเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ถูกส่งออกไป และเป็นจุดเริ่มของการพากระแส Thai Music Wave ที่กำลังเติบโตนี้ ไปยังแฟนเพลงทั่วโลก ส่งเสริมการเติบโตของศิลปินไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่ทำให้ดนตรีไทยไปได้ไกลไม่ใช่เพียงเพราะคุณภาพเสียงหรือการโปรโมตที่ดีเท่านั้น แต่เป็นเพราะศิลปินไทยกล้าหยิบเอารากวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความหลากหลายทางดนตรี มาผสมผสานอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านบทเพลงที่พูดถึงเรื่องท้องถิ่นหรือการออกแบบเวทีที่สื่อถึงอัตลักษณ์ไทยในแบบร่วมสมัยออกมาเป็นดนตรีหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็นโฟล์กซองไทย ลูกทุ่ง อินดี้ ร็อค ฮิปฮอป ชูเกซ ตัวอย่างที่โดดเด่น เช่น เพลงหมวดหมู่ T-Pop ที่ได้กลายเป็นหมวดหมู่ใหม่ที่นานาชาติเริ่มรู้จักและจับตามองด้วยความโดดเด่นด้านทำนอง พลังเสียงการร้อง และคอนเซ็ปต์ เช่น ศิลปินหญิง MILLI ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ไวรัลระดับโลกผ่านเวที Coachella ได้กลับมาสร้างไวรัลอีกครั้งบนเวที Head In The Clouds Los Angeles 2025 ร่วมกับบัวขาว บัญชาเมฆ ในการสร้างกระแสเพลงไทยไปพร้อมกับศิลปะแม่ไม้มวยไทย นอกจากนี้ในเวทีเดียวกันยังเป็นการเปิดตัวศิลปิน 4EVE ที่มีกลยุทธ์ทั้งเพลงที่ติดหูและเข้าถึงง่าย สามารถขยายตลาดไปสู่อเมริกาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากแฟนคลับในจีนและเกาหลีใต้ รวมถึงศิลปินหน้าใหม่ที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น วง BUS because of you i shine ที่สมาชิกแต่ละคนมีคาแรคเตอร์ที่แต่โดดเด่นแตกต่างกันได้ขยายฐานแฟนคลับออกไปสู่ตลาดประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับในฝั่งดนตรีอินดี้ของไทยที่ได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ ทั้ง Phum Viphurit, YONLAPA, KIKI, และ H 3 F รวมถึงศิลปินร็อกอย่าง Whispers มีแฟนคลับที่เหนียวแน่นในยุโรป อเมริกา และเอเชียตะวันออก ไม่เพียงแต่ดนตรีร่วมสมัยเท่านั้นที่ครองใจสากล แต่ดนตรีพื้นบ้าน เช่น หมอลำ ก็สร้างปรากฎการณ์ให้กลายเป็นกระแสไปทั่วโลกอย่างวงคณะเบียร์บูด ที่ทำให้ดนตรีหมอลำมีความยูนีค ตีความหมอลำใหม่ให้ล้ำไปอีกขั้นผ่านการมิกซ์ซาวนด์ดนตรีพื้นบ้านอีสานกับทำนองแบบฟังก์ เรกเก้ โซล ด้วยความเป็นเอกลักษณ์และมีกลิ่นอายเฉพาะตัวนี้ ทำให้อุตสาหกรรมดนตรีไทยมีศักยภาพสูงที่เติบโตในระดับนานาชาติและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ดนตรีไทยถูกจับตามองมากขึ้น คือ การขยายตัวของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Spotify และ YouTube Music รวมถึงโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ศิลปินไทยเข้าถึงผู้ฟังนานาชาติได้โดยตรง 



“Content Lab” และ “Music Exchange” โครงการเชื่อมต่อคอนเทนต์ไทยสู่เวทีโลก               

   Content Lab: สร้างสรรค์คอนเทนต์ไทย ดันไกลสู่สากล โครงการหลักที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมในกลุ่ม คอนเทนต์และสื่อสร้างสรรค์ของไทย ได้แก่ ภาพยนตร์ ซีรีส์ และแอนิเมชัน ให้มีศักยภาพและตอบโจทย์ความต้องการในระดับสากล โดยปี 2025 CEA ออกแบบโปรแกรมสำหรับบ่มเพาะนักสร้างสรรค์สายภาพยนตร์ ซีรีส์ และแอนิเมชัน ทั้งหมด 4 โปรแกรม ได้แก่ 1. Newcomers โปรแกรมบ่มเพาะความรู้สำหรับนักสร้างคอนเทนต์หน้าใหม่ 2.Mid-Career: Project โปรแกรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาโปรเจ็กต์ให้ก้าวสู่ระดับสากล 3. Mid-Career: Story โปรแกรมที่มุ่งเน้นการเขียนบทเชิงพาณิชย์ และ 4. Mid-Career: Animation โปรแกรมสำหรับนักสร้างผลงานแอนิเมชันมืออาชีพสู่การพัฒนาผลงานในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรม Content Project Market ซึ่งเป็นเวทีแรกของไทยสำหรับการจับคู่ธุรกิจและต่อยอดผลิตผลงานซึ่งมีทีมผู้เข้าร่วมจากทั่วประเทศกว่า 50 ทีม และมีโปรเจ็กต์ที่ได้รับการคัดเลือกพร้อมนำเสนอผลงานต่อนักลงทุน และจับคู่ธุรกิจกว่า 35 โปรเจ็กต์ ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ และแอนิเมชัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักลงทุนจากประเทศไทยมากกว่า 60 ราย และนักลงทุนจากต่างประเทศมากกว่า 10 รายเข้าร่วม และกว่า 55 ผลงานจะถูกนำเสนอในกิจกรรมจับคู่ธุรกิจภายในงาน Content Project Market ซึ่งเป็นโปรแกรมสุดท้ายของโครงการที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10 - 12 กันยายน 2568 เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและต่อยอดสู่การผลิตผลงานอย่างมีคุณภาพ พร้อมสร้างเครือข่ายของอุตสาหกรรมให้เข้มแข็ง

   Music Exchange: โครงการส่งเสริมศิลปินและธุรกิจเทศกาลดนตรีของไทยสู่ตลาดสากล ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ในปี 2568 โดยความร่วมมือระหว่าง CEA กับคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี THACCA โครงการนี้สนับสนุนศิลปินไทยหลากหลายแนวดนตรีและค่ายเพลงให้สามารถก้าวสู่ตลาดนานาชาติ ด้วยการจัด 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1. กิจกรรมการส่งเสริมศิลปินของไทยเข้าร่วมเวทีเทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ (PUSH) และ 2. กิจกรรมการจับคู่ธุรกิจและสร้างเครือข่ายของผู้จัด ผู้คัดเลือกศิลปิน เอเจนซีระหว่างเทศกาลดนตรี ในประเทศเป้าหมายและไทย (PULL) สำหรับปี 2025 มีศิลปินไทยได้รับทุนสนับสนุน 24 ศิลปิน ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ 25 เทศกาล ใน 11 ตลาดสําคัญทั่วโลก เช่น  อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเกิดการสร้างโอกาสเจรจาธุรกิจให้ 40 ศิลปินและธุรกิจดนตรีของไทย และการสร้างโอกาสการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจกับเทศกาลและผู้จัดงานดนตรีถึง 20 เทศกาล/บริษัท/หน่วยงานทั่วโลก โดยเกิดการเจรจาธุรกิจมากกว่า 150 ครั้งตลอดโครงการ Music Exchange 2025 จึงไม่เพียงเสริมสร้างโอกาสให้ศิลปินได้เปิดตลาดใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นสะพานสำคัญที่ขับเคลื่อนกระแส Thai Music Wave และส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้เป็นที่รู้จักบนเวทีโลกได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น    

CEA พร้อมส่งเสริมคอนเทนต์และดนตรีของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง


ดร. ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่า Content Lab และ Music Exchange เป็นกลไกหลักที่ช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคล และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่นักสร้างสรรค์สายคอนเทนต์และดนตรีในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ นับเป็นโครงการที่สนับสนุนประเทศไทยให้กลายเป็น Creative Hub ของภูมิภาคอาเซียน และส่งเสริมคอนเทนต์และดนตรีของไทยให้ได้เติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืน สำหรับในปี 2569 CEA มีแผนขยายโปรแกรมต่างๆ ของโครงการ Content Lab ให้ครอบคลุมทุกคอนเทนต์สร้างสรรค์ เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปตามเทรนด์โลก พร้อมต่อยอดโครงการ Music Exchange ให้สามารถสนับสนุนศิลปินไทยสู่เวทีนานาชาติได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งพัฒนามาตรฐานการจับคู่ธุรกิจ เพื่อยกระดับระบบนิเวศสร้างสรรค์ที่ครบวงจร CEA มุ่งสร้างโอกาสให้ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์และศิลปินไทยเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างมั่นคง อีกทั้งสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เพื่อ เผยแพร่คอนเทนต์และดนตรีของไทยอย่างสร้างสรรค์สู่เวทีโลกได้อย่างภาคภูมิใจและยั่งยืน ทั้งหมดนี้เพื่อให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยก้าวขึ้นเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งอนาคต


เกี่ยวกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน): สศส. หรือ Creative Economy Agency (Public Organization): CEA เป็นหน่วยงานเฉพาะด้านที่ทำหน้าที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยให้ความสำคัญด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สาขาต่าง ๆ ให้เติบโต และส่งเสริมให้ภาคการผลิตนำความคิดสร้างสรรค์ไปประยุกต์ใช้ในการเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ นำไปสู่การยกระดับศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจ CEA ยังสนับสนุนการจัดตั้ง TCDC ส่วนภูมิภาค ซึ่งนับเป็นการนำนโยบายสำคัญของรัฐบาลมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการสร้างพื้นที่กลางที่เป็นแหล่งเรียนรู้และพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ การรวบรวมองค์ความรู้และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านการออกแบบและนวัตกรรม ซึ่งจะกระตุ้นและสนับสนุนการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจจากระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ อันจะช่วยขับเคลื่อนประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต