บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 ด้วยตัวเลขที่น่าประทับใจ โดยมีกำไรสุทธิสูงถึง 631.56 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 362.34% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่รายได้รวมแตะ 11,544 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8.88% จากปี 2567 ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งเป็นทั้ง "โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล (Data Infrastructure)" และ "แบรนด์ไลฟ์สไตล์ของชาติ" ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างแท้จริง
รัฐพล ภักดีภูมิ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 142 ปี ไปรษณีย์ไทยได้ขับเคลื่อนองค์กรผ่านกลยุทธ์ “1-4-2” โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไปรษณีย์ไทยไม่เพียงแต่ต้องการเป็นผู้ให้บริการขนส่งเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลและสร้างคุณค่าทางสังคมในระยะยาว "เราให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ"
ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 แข็งแกร่งจากธุรกิจหลัก
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งของไปรษณีย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 โดยระบุว่า กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ยังคงเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงสุด คิดเป็นสัดส่วน 46.83% ของรายได้ทั้งหมด หรือเท่ากับ 5,406 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 11.56% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปริมาณชิ้นงานโดยรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขนส่งแบบด่วน (Express) ดร.ดนันท์ ยังเปิดเผยว่า การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการบริหารจัดการภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มศักยภาพในการทำงานของบุคลากร รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะในกลุ่ม B2C และ B2B ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
สำหรับสัดส่วนรายได้หลักของไปรษณีย์ไทยในปัจจุบันมาจาก
ในภาพรวม ไปรษณีย์ไทยยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด ด้วยคะแนน Top of Mind ของแบรนด์สูงถึง 99.54% และคะแนนความไว้วางใจในแบรนด์ 96.11% ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่คนไทยมีต่อองค์กร
กลยุทธ์ “1-4-2” ขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคใหม่
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ ได้อธิบายถึงกลยุทธ์ “1-4-2” ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร
“1” คือ การเป็นขนส่งอันดับ 1 ของคนไทย ไปรษณีย์ไทยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านคุณภาพบริการ ตั้งแต่ระบบรับฝาก ส่งต่อ และนำจ่าย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมเข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศรวมกว่า 50,000 แห่ง เพื่อให้บริการแบบมืออาชีพและเหนือความคาดหวังของลูกค้าในทุกจุดบริการ นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังยกระดับองค์กรสู่การเป็น “Tech Post” อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ
“4" พลังขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่
พลังความเร็ว มุ่งส่งมอบบริการที่รวดเร็ว แม่นยำ โดยบริการที่โดดเด่นและได้รับความนิยมสูงสุดคือ บริการส่งด่วน EMS ซึ่งทำรายได้คิดเป็น 43.31% ของรายได้รวมทั้งหมด
พลังเพื่อธุรกิจ ออกแบบโซลูชันที่รองรับผู้ประกอบการตั้งแต่รายเล็กถึงรายใหญ่ เช่น บริการคลังสินค้าครบวงจร THP Fulfillment ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ
พลังเชื่อมโลก พร้อมพาธุรกิจไทยเติบโตครอบคลุม 205 ปลายทาง ใน 193 ประเทศ ทั่วโลก
พลังความล้ำ นำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์โครงสร้างเศรษฐกิจ อาทิ Digital Postbox บริการตู้ไปรษณีย์ดิจิทัลจาก Prompt Post ที่ต่อยอดการส่งจดหมายแบบ Physical สู่ Digital ทำให้สามารถรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็ว ง่าย ปลอดภัย และติดตามสถานะได้ และบริการ D/ID หรือระบบการจ่าหน้าแบบดิจิทัล ที่สามารถแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ส่งและผู้รับเป็นรหัส 6 หลัก ซึ่งทั้งสองบริการนี้พร้อมเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้
“2” คือ 2 แกนหลักการเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์และความสำเร็จให้คนไทย นอกจากมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
ด้านสิ่งแวดล้อม มีการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงาน มุ่งดำเนินงานด้าน Circular Economy และผลักดันโครงการ Green Hub ร่วมกับพันธมิตร อาทิ โครงการ reBOX, reBAG, และ e-Waste ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4,670 ตันคาร์บอนเทียบเท่าในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนเสื้อเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย โดยแต่ละชุดใช้ผ้าที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.77 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งจากการผลิตทั้งหมดสามารถลดได้ถึง 53,360 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ด้านสังคม มุ่งเน้นการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยไปรษณีย์ไทยสนับสนุนเกษตรกรไทยในการกระจายสินค้าและผลผลิตผ่านเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 1,200 แห่ง และแพลตฟอร์ม ThailandPostMart ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 สร้างรายได้แล้วกว่า 360 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปี 2568 จะสามารถสร้างรายได้รวมที่ 760 ล้านบาท ไปรษณีย์ไทยยังคงสนับสนุนบริการเชิงสังคม (PSO) มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 28,000 ล้านบาท และได้เปิดแคมเปญเชิญชวนคนไทยร่วมส่งสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีสิ่งของส่งผ่านไปรษณีย์ไทยแล้วกว่า 34,302 กล่อง รวมน้ำหนักมากกว่า 104,365 กิโลกรัม
ด้านธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล มุ่งเน้นความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยในปี 2567 ไปรษณีย์ไทยได้รับผลการประเมินคะแนนคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) อยู่ที่ 91.70 คะแนน และยังได้รับรางวัลระบบบริหารจัดการความเสี่ยงการทุจริตระดับ “ดีเยี่ยม” จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
ก้าวสู่ยุคดิจิทัล Data Infrastructure และ Lifestyle Brand ของประเทศ
ไปรษณีย์ไทยกำลังทุ่มเทกับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป คือ Digital Post ID (D/ID) ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลระดับชาติ แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนามานานกว่า 2-3 ปี และวันนี้ได้ก้าวจากแนวคิดสู่การใช้งานจริง โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็น "data infrastructure ของประเทศ" ในด้านที่อยู่และการขนส่ง
ดร.ตฤณ ทวิธารานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบริการดิจิทัล บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวให้รายละเอียดด้วยว่า "D/ID เริ่มใช้งานกับบริการของไปรษณีย์ไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะเริ่มเห็นการใช้งานในวงกว้างกับผู้ให้บริการอื่นภายในสิ้นปีนี้ โดย D/ID เชื่อมต่อกับระบบ ThaiID ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อยืนยันตัวตนและที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์ แต่ที่โดดเด่นคือจะรวมถึง "ที่อยู่ปัจจุบัน" ของบุคคลด้วย ผู้ใช้สามารถกรอกข้อมูลที่อยู่ทั้งหมดเพียงครั้งเดียว แล้วใช้รหัส 6 หลัก (DID) ในการทำธุรกรรมหรือสมัครบริการต่างๆ ได้ทุกแอปพลิเคชัน ทำให้ไม่จำเป็นต้องกรอกที่อยู่ซ้ำๆ อีกต่อไป"
D/ID จะช่วยลดข้อผิดพลาดในการขนส่งได้อย่างมหาศาล ตั้งแต่การกรอกที่อยู่ด้วยลายมือที่อาจอ่านยาก การส่งผิดบ้าน ไปจนถึงปัญหาข้อมูลที่อยู่ที่ไม่ตรงกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งส่งผลให้การคัดแยกผิดพลาด โดยระบบจะใช้ GPS ปักหมุดตำแหน่งที่ส่งได้แม่นยำถึงหน้าประตูบ้าน (Precision in Every Move) ทั้งนี้ วาระต่อไปในสิ้น 2568 นี้ต่อยอดใน Super App แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ไปรษณีย์ไทยกำลังพัฒนา Super App ที่ตั้งเป้าจะเป็นเสมือนแอปพลิเคชันต่างชาติที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เช่น การเรียกบริการ การสั่งซื้อสินค้า หรือการชำระเงิน ซึ่งจะผสานรวมเข้ากับ D/ID เพื่อเป็นแอปพลิเคชันหลักที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องมีหลายแอปพลิเคชัน บริการสำคัญที่สุดที่จะดึงดูดผู้ใช้งานในช่วงแรกคือ ระบบติดตามพัสดุ (Tracking) ซึ่งจะแสดงรายละเอียดที่แม่นยำและสามารถปรับเปลี่ยนเวลาการส่ง หรือทราบได้ว่าบุรุษไปรษณีย์คนใดจะเป็นผู้มาส่ง
"เมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมาก Super App จะกลายเป็นช่องทางในการเข้าถึงบริการอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น การขอสินเชื่อจากธนาคารดิจิทัลต่างๆ โดยไปรษณีย์ไทยจะทำหน้าที่เป็น mutual banking agent การพัฒนา Super App และระบบดิจิทัลอื่นๆ เป็นการลงทุนที่ไม่สิ้นสุด เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยทีมงานภายใน
Strategic Foresight และการผสาน AI
ไปรษณีย์ไทยกำลังอยู่ในระหว่างทำ "Strategic Foresight" เพื่อคาดการณ์อนาคตและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเข้ามาของ AI และโดรน มองว่าการใช้งานโดรนเพื่อการขนส่งจะมีการนำมาใช้ที่รวดเร็วขึ้นมาก โดยได้รับแรงกระตุ้นจากความตระหนักของรัฐบาลต่อการใช้โดรนในสงคราม ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรง โดรนจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการขนส่งในพื้นที่ห่างไกลที่ปริมาณสินค้าน้อยแต่มีต้นทุนสูง พร้อมกับ AI Integration ในอนาคต การซื้อสินค้าอีคอมเมิร์ซอาจถูกเลือกโดย AI ซึ่งผู้บริโภคอาจไม่ได้สนใจยี่ห้อสินค้ามากนัก ไปรษณีย์ไทยจึงต้องพัฒนาตัวเองเพื่อผูกเข้ากับ AI Engine เหล่านี้ เพื่อไม่ให้หลุดพ้นจากชีวิตประจำวันของผู้คน
การต่อยอดบริการและการดูแลสังคม
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ ยังกล่าวถึงการต่อยอดแนวคิดการขนส่ง Parcel Defined Logistics ให้มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น ในรูปแบบ Specialized Logistics เช่น Healthcare Logistics for Pet หรือการขนส่งสินค้าเพื่อกลุ่มสัตว์เลี้ยง การขนส่งสินค้ามูลค่าสูง และการขนส่งนมแม่ เป็นต้น ขณะที่ในด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยพัฒนา e-Payment ให้รองรับการชำระ COD และเชื่อมต่อกับพันธมิตรหลากหลาย ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กรมการขนส่งทางบก, ทิพยประกันภัย, WeChat Pay และ Alipay เพื่อขยายช่องทางชำระเงินอย่างครอบคลุมทุกความต้องการ
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือการต่อยอดข้อมูลขนาดใหญ่สู่ “Data as a Service” ที่จะสร้างรายได้เชิงพาณิชย์อย่างจริงจังในปี 2569 โดยใช้การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลและภาคธุรกิจได้อย่างแม่นยำ
ในด้านการดูแลบุคลากร ไปรษณีย์ไทยได้เริ่มโครงการ Postman ซึ่งเป็นรูปแบบ cloud sourcing โดยใช้บุรุษไปรษณีย์ที่มีอยู่เป็นทรัพยากร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร พนักงานจะไม่ได้แค่ส่งจดหมายหรือพัสดุเท่านั้น แต่ยังสามารถมีบทบาทในการสร้างรายได้และคุณค่าเพิ่มเติมให้กับองค์กร นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งเน้นการช่วยเหลือสังคมและชุมชน โดยเป็นช่องทางในการขยายตลาดสำหรับสินค้าชุมชนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ThailandPostMart ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยในกลุ่มสินค้าชุมชนนี้ จะคิดค่า GP (Gross Profit margin) ในอัตราที่ต่ำมาก (เลขหลักเดียว) และไม่มีค่าขนส่งสำหรับผู้บริโภค
"ในฐานะรัฐวิสาหกิจ ไปรษณีย์ไทยไม่ได้มุ่งเน้นกำไรเป็นหลัก แต่มีหน้าที่เพื่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม เราต้องสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้เพื่อไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐ นี่คือเหตุผลที่ไม่สามารถนำผลประกอบการไปเทียบกับบริษัทเอกชนในตลาดเดียวกันได้โดยตรง" ดร.ดนันท์ กล่าวย้ำถึงบทบาทเพื่อสังคมของไปรษณีย์ไทย
ความท้าทายและก้าวต่อไป
แม้จะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แต่ไปรษณีย์ไทยก็ยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยในปีที่ผ่านมามีค่าใช้จ่ายที่อยู่นอกเหนือแผนประมาณ 300-400 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงภาษีจากการปรับปรุงมูลค่าสินทรัพย์ (เช่น สัญญาเช่า) ค่าครองชีพพิเศษที่ปรับเพิ่มขึ้นสำหรับพนักงาน และการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ส่งผลให้ผลกำไรในปีที่แล้วค่อนข้างตึงตัว หรือขาดทุนไปกว่า 100 ล้านบาท
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ไปรษณีย์ไทยได้ปรับแผน โดยมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตของรายได้ในกลุ่มลูกค้าที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เช่น อีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์เฉพาะทาง และกลุ่มผู้ประกอบการที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ หลังเผชิญค่า GP ที่สูงขึ้นจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ นอกจากนี้ ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานและการลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาบริการให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ไปรษณีย์ไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย ผ่านการสร้างนวัตกรรมและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว