บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT แถลงผลประกอบการช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ด้วยตัวเลขที่น่าประทับใจ โดยมี กำไรสุทธิสูงกว่าที่ประมาณการไว้ในแผนธุรกิจอย่างมาก ถึงแม้รายได้จะต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 5% ก็ตาม
พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ว่า NT มีผลการดำเนินงานรวม 41,118 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4,110 ล้านบาท จากธุรกิจหลักอย่างโมบายล์ บรอดแบนด์ โครงสร้างพื้นฐาน และบริการดิจิทัล กำไรที่โดดเด่นนี้เป็นผลมาจากการ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการภาพรวมที่ดี รวมถึงตัวเลข EBIT ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าเสื่อมราคาลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564-2568 ทำให้ NT ได้รับการพิจารณาให้ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายปี 2568 และเผชิญความท้าทาย
แม้ผลงานครึ่งปีแรกจะสดใส แต่ซีอีโอ NT ได้เน้นย้ำถึงความท้าทายในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะหลังจากที่ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 850 MHz, 2300 MHz และ 2100 MHz หมดอายุลงในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็น ช่วงเวลาสำคัญอย่างมากในการปรับทิศทางธุรกิจของ NT ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม NT มีกำไรสุทธิสะสมประมาณ 4,000 – 4,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ ผลประกอบการอาจเริ่มติดลบ เนื่องจากข้อตกลงกับพันธมิตรเดิมสิ้นสุดลง
"หน้าที่หลักในช่วงครึ่งปีหลังคือการ เร่งสร้างรายได้ บริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และเร่งสร้างธุรกิจใหม่" พันเอก สรรพชัยย์ กล่าว NT ยังคงตั้งเป้าหมายกำไรทั้งปีไว้ที่ประมาณ 360 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงการกลับเข้าสู่แผนฟื้นฟูองค์กรที่อาจสร้างข้อจำกัดในการดำเนินงาน หากไม่บรรลุเป้าหมาย อาจต้องพิจารณาตัดงบประมาณการลงทุน อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่จะได้รับรายได้ที่ไม่คาดคิดจากคดีความที่เคยตั้งสำรองไปแล้ว หากผลการตัดสินเป็นไปในทิศทางเดียวกับคดีก่อนหน้า ซึ่งอาจมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท
NT ยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้การกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โดยมีเป้าหมายหลักคือ การเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย การสนับสนุนภารกิจภาครัฐ และการพัฒนาองค์กร
กลยุทธ์ธุรกิจใหม่ มุ่งเน้นดิจิทัล แสวงหาพันธมิตร และพลิกโฉมทรัพย์สิน
NT กำลังให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจด้าน ดิจิทัลเพียงอย่างเดียว และมีแผนขยายตลาดในส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้นของบริการกลุ่มดิจิทัล, ดาต้าคอม, บรอดแบนด์, CCTV, SI และอสังหาริมทรัพย์ โดยผ่านทีมขายส่วนภูมิภาคทั่วประเทศและมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก พร้อมทั้งควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน
1. ดาวเทียม LEO : โอกาสใหม่สร้างรายได้ระยะยาว ธุรกิจดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) เป็นหนึ่งในโอกาสสร้างรายได้ระยะยาวของ NT ปัจจุบัน NT ให้บริการเกตเวย์สำหรับเครือข่ายดาวเทียมของ Eutelsat OneWeb ซึ่งสามารถเป็นต้นแบบความสำเร็จในการร่วมมือกับผู้ให้บริการรายอื่นๆ ร่างสัญญาสำหรับบริการดาวเทียม OneWeb ได้รับการอนุมัติจากอัยการและส่งให้สำนักงาน กสทช. เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการเจรจาข้อตกลงเชิงพาณิชย์ระหว่าง NT กับ OneWeb และกับพันธมิตร ซึ่ง NT สามารถขายบริการได้โดยตรงหรือในรูปแบบค้าส่ง (Wholesale) NT มีข้อผูกพันกับ OneWeb ในการซื้อขั้นต่ำภายใน 5 ปี โดยบริการนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วแม้สัญญายังไม่เสร็จสมบูรณ์
รายได้จากบริการดาวเทียมในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับหลักแสนบาทเท่านั้น แต่ในระยะยาว NT ตั้งเป้าหมายจะสร้างรายได้อย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 5 ปี นับจากต้นปี 2569 กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักคือ หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ที่สายเข้าไม่ถึง งานด้านความมั่นคง หน่วยงานเคลื่อนที่ เช่น สภากาชาด และหน่วยงานทางเรือ ราคาบริการค่อนข้างสูง โดยอุปกรณ์มีราคาหลักหมื่นบาท และแพ็กเกจรายเดือนก็มีราคาสูงถึงหลักหมื่นบาทเช่นกัน โดยปัจจุบันลูกค้ากลุ่มภาครัฐหลายรายได้เข้ามาขอทดสอบบริการแล้ว
สำหรับดาวเทียมที่วงโคจร 126 องศาตะวันออก NT ได้จ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและเจรจากับ ITU รวมถึงประเทศที่มีวงโคจรใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่นและจีน อย่างไรก็ตาม การลงทุนเชิงพาณิชย์อาจไม่คุ้มค่าหากไม่ได้รับการผูกพันจากภาครัฐ เนื่องจากโครงการนี้เริ่มต้นจากมติคณะกรรมการว่าด้วยกิจการอวกาศที่ต้องการให้มีดาวเทียมของภาครัฐเพื่อความมั่นคง ทางออกที่เป็นไปได้คือการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ 2-3 รายที่สนใจร่วมลงทุน แต่โครงการนี้มีความล่าช้าพอสมควร
2. การพลิกโฉมอสังหาริมทรัพย์: สร้างรายได้จากพื้นที่ศักยภาพสูง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นเป้าหมายสำคัญที่ NT จะผลักดันเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างรายได้จากพื้นที่เช่าในทำเลศักยภาพสูงทั้งในกรุงเทพและจังหวัดต่างๆ NT ได้ปรับระเบียบขั้นตอนในการหาผู้เช่าและการอนุมัติอัตราค่าใช้บริการที่คล่องตัว พร้อมกับร่วมมือพันธมิตรในการช่วยหาผู้เช่าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ NT ได้ปรับการใช้พื้นที่ในโซนอาคารสำนักงานแจ้งวัฒนะ ทำให้ได้พื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นราว 10,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเพิ่มเป็นพื้นที่เช่าต่อไป
NT มีที่ดินขนาดใหญ่ 10 แปลงที่ยังไม่ได้พัฒนามาประมาณ 1 ปีครึ่ง เนื่องจากข้อจำกัดในการเจรจาเรื่องราคาเช่าที่ราคาประเมินของกรมธนารักษ์มักสูงกว่าราคาตลาด และความกังวลเรื่องการเอื้อประโยชน์ NT จึงได้เปลี่ยนแนวทางใหม่ โดยจะจ้างบริษัทประเมินราคาที่ดินในตลาดหลักทรัพย์มาประเมินราคาเช่าที่ดินตามราคาตลาด และจะเปิดให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเลือกพัฒนา โดยมีกรอบเวลา 6 เดือน หากไม่สามารถดำเนินการได้จะเปลี่ยนผู้พัฒนา สำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก มีความคล่องตัวมากขึ้นเนื่องจากมีการปรับระเบียบให้สามารถใช้ราคาตลาดได้
NT คาดการณ์รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ที่ประมาณ 660 ล้านบาท และคณะกรรมการบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,000 ล้านบาทในปีหน้า ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย พื้นที่ศักยภาพสูงที่กำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่
3. แสวงหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ NT เน้นเดินหน้าความร่วมมือพันธมิตร Joint Venture (JV) ที่สร้างรายได้ใหม่ โดยเน้นด้านดิจิทัลและบริการคลาวด์ คาดว่าจะมีการลงนามในสัญญา JV อีกประมาณ 2-3 รายภายในปีนี้ ซึ่งอาจมีขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ ธุรกิจใหม่เหล่านี้อาจจะยังไม่ทำกำไรได้ทันทีในปีแรก แต่คาดว่าจะเริ่มเห็นการเติบโตและการคืนทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
NT กำลังเปิดกว้างในการแสวงหาพันธมิตรสำหรับธุรกิจ Fixed Broadband และ Mobile โดยมีผู้สนใจหลายราย เช่น ค่ายสีเขียว (AIS) ที่ได้ส่งข้อเสนอที่ละเอียดที่สุด และค่ายสีแดง (True) ที่พร้อมจะเข้าร่วมตามข้อเสนอของค่ายสีเขียว นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นอีก 2 รายที่แสดงความสนใจ การพิจารณาพันธมิตรขึ้นอยู่กับข้อเสนอที่ดีที่สุด และอาจมีเพียงรายเดียวหากข้อเสนอครอบคลุมทุกด้าน โดยมีบริษัทต่างชาติ 2 รายที่ต้องการใช้ Device ของ NT ในการทำตลาดและเป็น Marketing Arm ให้
ข้อจำกัดสำคัญที่ NT ต้องการพันธมิตรมาช่วยคือเรื่อง After-sales และ Marketing ส่วนการบริหารจัดการเครือข่ายนั้น NT มั่นใจว่าสามารถทำได้เอง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงฐานข้อมูลของทั้งสององค์กร (TOT และ CAT เดิม) ที่ยังไม่สมบูรณ์ ซีอีโอคาดการณ์ว่าการเลือกแนวทางพันธมิตรสำหรับ Fixed Broadband และ Mobile จะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ แต่คงยังไม่ถึงขั้นเลือกคู่สัญญา
สำหรับธุรกิจ Mobile ซีอีโอระบุว่ายังคงติดลบอยู่ แม้ว่าจะพยายามปรับแพ็กเกจให้มี Roaming น้อยที่สุด ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่าย Roaming ลงได้ประมาณ 30-40% ปัญหาหลักคือ Coverage ของ 4G ที่ไม่ครอบคลุมภายในอาคาร ทำให้เกิดค่า Roaming เมื่อลูกค้าเข้าใช้งานในพื้นที่ดังกล่าว NT ยืนยันว่า จะไม่มีการขายทรัพย์สินหรือลูกค้า ในการร่วมมือกับพันธมิตร แต่พันธมิตรสามารถเข้ามาบริหารจัดการลูกค้าภายใต้แบรนด์ของ NT ได้ อย่างไรก็ตาม การเจรจากับพันธมิตรมีความซับซ้อนและล่าช้า เนื่องจาก สหภาพแรงงานไม่เห็นด้วย กับบางข้อเสนอที่อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน
ขับเคลื่อนแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตองค์กรและประเทศ
นอกเหนือจากการสร้างรายได้กลุ่มบริการใหม่ การรักษาฐานรายได้เดิม และขยายความร่วมมือพันธมิตรแล้ว การดำเนินธุรกิจของ NT ในฐานะหน่วยงานโทรคมนาคมหลักของประเทศ ยังมุ่งขับเคลื่อนแนวคิดโครงการสำคัญที่เป็นโอกาสทางธุรกิจ พร้อมกับสามารถสนับสนุนภารกิจภาครัฐและยุทธศาสตร์ของประเทศ
1. การบูรณาการการใช้คลื่นความถี่เพื่อความมั่นคง NT กำลังพิจารณาแนวทางการบูรณาการการใช้คลื่นความถี่ 850 MHz ร่วมกับคลื่นความถี่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคลื่น Digital Trunk เพื่อประโยชน์ต่อประเทศในด้านความมั่นคง และรองรับการสื่อสารในภารกิจ/กรณีภัยพิบัติ NT มั่นใจว่าในฐานะโอเปอเรเตอร์ภาครัฐสามารถดำเนินการด้วยความพร้อมของอุปกรณ์โครงข่ายและบุคลากรทั่วประเทศ ซึ่งช่วยสนับสนุนภารกิจหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานความมั่นคงได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะด้านการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ภัยพิบัติ ทั้งนี้ ยังต้องมีการรวบรวมข้อมูลความต้องการใช้งานที่ชัดเจนจากหน่วยงานภาครัฐและประเมินความคุ้มค่าต่อไป NT ยังพิจารณาใช้คลื่น 850 MHz สำหรับบริการที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูลของภาครัฐ เช่น IoT, Smart Meter, Telemedicine ซึ่งเป็นข้อมูลของประชาชนและภาครัฐ แนวคิดคือการพิสูจน์ว่าการลงทุนในระบบนี้จะช่วยให้ภาครัฐประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการซื้อบริการจากผู้ประกอบการรายอื่น ปัจจุบัน NT กำลังรวบรวมข้อมูลดีมานด์จากแผนงานของภาครัฐ เช่น แผนการติดตั้ง Smart Meter ของการไฟฟ้าและการประปา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการลงทุนที่ผู้ค้าเสนอมาสำหรับ Smart Meter มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่ง NT มองว่าแพงเกินไปและไม่น่าจะดำเนินการได้
2. การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ASEAN Digital Hub NT พร้อมที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ประเทศในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียนด้าน Connectivity ในภาพรวม บนแนวคิดการขยายศักยภาพและความพร้อมในการรองรับการลงทุนด้านดิจิทัลของ Hyper Scale จากต่างขาติให้เข้ามาใช้ได้ทันที ซึ่งรวมถึง การเพิ่มเส้นทางเชื่อมโยงเคเบิลใต้น้ำและภาคพื้นดินอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะเส้นทางสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เส้นทางเชื่อมต่อฝั่งอันดามัน-อ่าวไทย และเส้นทางไทย-สิงคโปร์ รวมถึงการบาลานซ์ทราฟฟิกออกนอกประเทศ, การบาลานซ์ทราฟฟิกระหว่างบนพื้นดินและใต้น้ำ และการเป็น Neutral ศูนย์กลางควบคุมการเชื่อมโยงระหว่างประเทศในอาเซียน ซึ่งจะส่งเสริมประเทศไทยด้านความมั่นคงและการเป็นผู้นำด้านสื่อโทรคมนาคมของภูมิภาคในอนาคต
การปรับโครงสร้างรายได้และการลงทุนในอนาคต
NT มีการปรับสัดส่วนรายได้หลัก โดย Fixed Broadband จะมีสัดส่วนประมาณ 50% และธุรกิจ Digital จะมีสัดส่วนประมาณ 15-20% ขณะที่รายได้จาก Mobile ซึ่งเคยอยู่ที่ 50% จะลดลงเหลือไม่ถึง 39% หรืออาจต่ำกว่า 10% เมื่อพันธมิตรเดิมสิ้นสุดลง ส่วนรายได้จากธุรกิจดาวเทียมยังคงมีสัดส่วนน้อย (ปัจจุบันประมาณ 200 ล้านบาท) แต่คาดว่าจะเติบโตไปถึงประมาณ 1,000 ล้านบาท ได้ภายใน 10 ปี
NT ยังมองหาโอกาสในการลงทุนและร่วมมือกับบริษัทภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะในด้าน
การบริหารจัดการภายในและบุคลากร
เพื่อผลักดันรายได้ในปัจจุบัน NT ได้นำระบบ Dashboard มาใช้เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของแต่ละบริการและจัดอันดับสาขาในแต่ละจังหวัด ทำให้สามารถระบุสาขาที่มีประสิทธิภาพต่ำและพิจารณาการจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงผลงาน ซีอีโอหวังว่าการจัดอันดับนี้จะกระตุ้นให้หน่วยงานที่อยู่ท้ายตารางสามารถปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้นได้
ในส่วนของการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล NT มีพนักงานปัจจุบันประมาณ 12,200 คน และมีเป้าหมายระยะยาวที่จะลดจำนวนลงเหลือประมาณ 7,000 คน โดยปีนี้จะ ไม่มีโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด เนื่องจากบริษัทต้องการรักษากำไร นอกจากนี้ NT ยังเผชิญความท้าทายในการรักษาบุคลากรด้านดิจิทัลเนื่องจากอัตราเงินเดือนที่ต่ำกว่าภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ NTOS (เดิมคือ TOOS) จะขยายบทบาทจากการดูแลงานบริหารและภาคสนาม ไปเป็นการ Outsource บุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทางด้านดิจิทัลและ Programming เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้ โดยภาพรวม พันเอก สรรพชัยย์ คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้จะเห็นความคืบหน้าอย่างชัดเจนในโครงการสำคัญเหล่านี้ และ NT จะมุ่งเน้นการใช้เงินสดที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดผ่านการลงทุนและการร่วมมือกับบริษัทภายนอกมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรในอนาคต