21 ก.ค. 2568 348 0

เตือนภัย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อ้างเป็นจนท.AIS หลอกโอนเงินตรวจสอบคดีฟอกเงิน สูญเงินเกือบ 16 ล้านบาท

เตือนภัย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อ้างเป็นจนท.AIS หลอกโอนเงินตรวจสอบคดีฟอกเงิน สูญเงินเกือบ 16 ล้านบาท

วงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 14 - 20 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย


คดีที่ 1 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ มูลค่าความเสียหาย 1,700,000 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์กรมศุลกากร แจ้งว่าผู้เสียหายมีเงินออมทรัพย์คงเหลือจำนวนมาก ต้องติดต่อที่สำนักงานเพื่อรับเงินคงเหลือคืน แต่หากไม่สะดวกสามารถทำตามคำแนะนำที่เจ้าหน้าที่แจ้งได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงเพิ่มเพื่อนทาง Line ต่อมาให้สแกน QR Code กรอกข้อมูลส่วนตัวและทำตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพแนะนำ เมื่อทำตามขั้นตอนเสร็จสิ้น ได้รับข้อความว่าเงินในบัญชีได้ถูกโอนออกไปจนหมด จึงติดต่อสอบถามแต่พบว่าไม่สามารถติดต่อได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 2 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ มูลค่าความเสียหาย 1,790,812 บาท โดยผู้เสียหายได้พบโฆษณากิจกรรมแจกสินค้าเสริมความงาม ผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียดผ่านทาง Messenger Facebook จากนั้นมิจฉาชีพแจ้งว่ามีกิจกรรมให้เข้าร่วมกดถูกใจสินค้าเพื่อนำคะแนนมาแลกเป็นส่วนลด เมื่อทำกิจกรรมครบตามกำหนดจะได้รับรางวัลมูลค่าสูงจากบริษัท แต่ต้องโอนเงินเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม โดยยอดเงินทั้งหมดจะเก็บไว้ในระบบ และจะคืนให้เมื่อทำกิจกรรมเสร็จสิ้น ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ต่อมาต้องการยกเลิกและถอนเงิน มิจฉาชีพอ้างว่าผู้เสียหายทำผิดกติกาจึงไม่สามารถนำเงินออกได้ ต้องโอนเงินมาเพื่อแก้ไขระบบ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ภายหลังจากโอนเงินไม่สามารถถอนเงินและไม่สามารถติดต่อได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 3 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 1,752,617 บาท โดยผู้เสียหายพบโฆษณาชักชวนลงทุนเทรดหุ้นผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียดผ่านทาง Messenger Facebook และเพิ่มเพื่อนผ่าน Line จากนั้นมิจฉาชีพอ้างตนเป็นผู้เชี่ยวชาญสอนวิธีลงทุนเทรดหุ้น ต่อมาให้ติดตั้งแอปพลิเคชันเพื่อลงทุน ในช่วงแรกสามารถถอนเงินจากระบบได้ จึงโอนเงินลงทุนเพิ่มมากขึ้น ภายหลังต้องการถอนเงินแต่ไม่สามารถถอนได้ มิจฉาชีพอ้างว่าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการฟอกเงินทางระบบจึงระงับบัญชีไว้ชั่วคราว จะต้องโอนเงินมาเพื่อปลดการระงับก่อน ภายหลังจากโอนเงินไปพบว่าไม่สามารถถอนเงินและไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก

คดีที่ 4 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) มูลค่าความเสียหาย 9,472,047 บาท ทั้งนี้ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่เครือข่ายโทรศัพท์ AIS แจ้งว่าผู้เสียหายได้เปิดใช้หมายเลขโทรศัพท์และเปิดบัญชีธนาคารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน จากนั้นเพิ่มเพื่อนทาง Line มีการสนทนาผ่าน VDO Call กับเจ้าหน้าที่อีกคน โดยอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอสอบปากคำและตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชี โดยให้โอนเงินของผู้เสียหายรวมถึงโอนเงินในบัญชีของคนครอบครัวทั้งหมดเพื่อนำมาตรวจสอบ หากไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดตามกฎหมายขั้นร้ายแรง ผู้เสียหายและครอบครัวหลงเชื่อจึงทำการโอนเงินไป หลังจากโอนเงินเสร็จไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก

และคดีที่ 5 คดีหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน (Romance Scam) มูลค่าความเสียหาย 1,202,000 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Tiktok ใช้โพรไฟล์เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี และเพิ่มเพื่อนทาง Line พูดคุยจนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จากนั้นมิจฉาชีพชักชวนลงทุนกองทุนหุ้นกู้ อ้างว่าเพื่อสร้างอนาคตให้กับบุตรชายของผู้เสียหาย และจะแต่งงานสร้างอนาคตร่วมกัน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ต่อมามีการยืมเงินอีกหลายครั้ง อ้างว่ามีอาการป่วยหนักจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อรักษา ผู้เสียหายเกิดความสงสัย จึงพยายามนัดเจอกัน แต่ฝ่ายชายปฏิเสธและไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 15,917,476 บาท


ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงาน ดังนี้

1. สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,923,498 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,073 สาย

2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 781,683 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,249 บัญชี

3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 246,805 บัญชี คิด เป็นร้อยละ 31.57 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 177,894 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 22.76 (3) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 116,519 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.91 (4) หลอกลวงลงทุน 107,646 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 13.77 (5) หลอกลวงให้กู้เงิน 55,415 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.09 (และคดีอื่นๆ 77,404 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 9.90)

“จากเคสตัวอย่างมิจฉาชีพได้หลอกลวงผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็น เจ้าหน้าที่ AIS แจ้งว่ามีเบอร์โทร และบัญชีธนาคารเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน ก่อนส่งต่อให้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอม โดยหลอกให้ทำการโอนเงินตรวจสอบบัญชีของตัวผู้เสียหายและคนในครอบครัว พบเสียหายกว่า 9 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีคดีหลอกให้ลงทุนหารายได้พิเศษ และคดีหลอกลวงให้รักแล้วโอนเงินร่วมลงทุน รวมทั้งคดีอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์กรมศุลกากร หลอกให้ผู้เสียหายสแกน QR Code ติดตั้งแอปฯดูดเงิน” วงศ์อะเคื้อ กล่าว

ทั้งนี้ ขอย้ำว่าการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรต่างๆ หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการ ควรตรวจสอบให้แน่ชัด โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ จะไม่มีการติดต่อกับประชาชนโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางโซเชียลมีเดีย และการลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขณะเดียวกันไม่ควรสแกน QR Code หรือดาวน์โหลดลิงก์ต่างๆ ที่ยังไม่มีการตรวจสอบ เพราะอาจเป็นการติดตั้งแอปฯดูดเงิน และข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดยกระทรวงดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง

 

หากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441

แจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชม.)

| Line ID: @antifakenewscenter | เว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com