1 ก.ค. 2568 204 0

แนวโน้ม 5G เพิ่มขึ้น 6.3 พันล้านราย AI ขับเคลื่อนดาต้าทั่วโลก อีริคสันเผยไทยขึ้นผู้นำบริโภคข้อมูลในภูมิภาค พร้อมวิเคราะห์การจัดประมูลคลื่นความถี่ล่าสุด

แนวโน้ม 5G เพิ่มขึ้น 6.3 พันล้านราย AI ขับเคลื่อนดาต้าทั่วโลก อีริคสันเผยไทยขึ้นผู้นำบริโภคข้อมูลในภูมิภาค พร้อมวิเคราะห์การจัดประมูลคลื่นความถี่ล่าสุด

รายงานล่าสุดจาก Ericsson Mobility Report ฉบับเดือนมิถุนายน 2025 ชี้ชัด 5G กำลังก้าวสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับการมาถึงของ AI ที่จะผลักดันการใช้งานดาต้าให้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่คาดการณ์ว่าจะเป็นผู้นำด้านการบริโภคข้อมูลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเติบโตของ 5G ทั่วโลกและภูมิภาค

อีริคสันคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2030 จำนวนบัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลกจะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย จาก 2.9 พันล้านรายที่คาดการณ์ไว้ ณ สิ้นปี 2025 ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมด นอกจากนี้ เครือข่าย 5G จะครอบคลุมการใช้งานมือถือทั่วโลกถึง 80% ภายในปี 2030 จาก 35% ณ สิ้นปี 2024 ที่ผ่านมา

สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียนั้น Ericsson Mobility Report คาดการณ์ว่าจำนวนบัญชีผู้ใช้ 5G จะเพิ่มเป็น 630 ล้านรายภายในปี 2030 คิดเป็น 49% ของผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ขณะที่ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตต่อสมาร์ทโฟนคาดว่าจะเติบโตจาก 19 กิกะไบต์ (GB) ต่อเดือนในปี 2024 เป็น 38 GB ต่อเดือนในปี 2030

AI และ 5G สองแรงขับเคลื่อนสำคัญที่พลิกโฉมความต้องการเครือข่าย


ปริมาณการใช้ดาต้าบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสแรกของปี 2024 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตลอดช่วงการคาดการณ์จนถึงสิ้นปี 2030 ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้คือการพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการขยายตัวของเครือข่าย 5G

การมาถึงของ Generative AI (GenAI) และแอปพลิเคชัน AI ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นกำลังพลิกโฉมความต้องการของเครือข่ายอย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถในการอัปลิงก์ (Uplink Capabilities) และความหน่วงต่ำ (Latency) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับแอปพลิเคชันยุคหน้า

มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า "เราอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เครือข่าย 5G และระบบนิเวศมีความพร้อมที่จะปลดปล่อย A Wave of Innovation หรือคลื่นแห่งนวัตกรรม ด้วยความก้าวหน้าของเครือข่าย 5G Standalone (SA) ประกอบกับพัฒนาการในอุปกรณ์ที่รองรับ 5G ได้นำไปสู่ระบบนิเวศที่พร้อมสำหรับการปลดล็อกโอกาสเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในการเชื่อมต่อไอเดียสร้างสรรค์ และเพื่อให้ 5G ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการคือการนำเครือข่าย 5G SA มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างฐานย่านความถี่ Mid-Band เพิ่มเติม"


รูปแบบการใช้งาน AI ที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้สัดส่วนทราฟฟิกดาวน์ลิงก์และอัปลิงก์มีการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่ 90% ดาวน์ลิงก์ และ 10% อัปลิงก์ กลายเป็น 70% ดาวน์ลิงก์ และ 30% อัปลิงก์สำหรับแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง Chat-GPT และอาจสูงถึง 50% ดาวน์ลิงก์ และ 50% อัปลิงก์สำหรับ Deep Seek หรือ MS Copilot สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าความสำคัญของการอัปโหลดเพิ่มขึ้นอย่างมากในเครือข่าย และผู้ให้บริการโทรคมนาคมจำเป็นต้องปรับปรุงการออกแบบเครือข่ายเพื่อรองรับความต้องการด้านความหน่วงและแบนด์วิดท์อัปโหลดที่เพิ่มขึ้น

ประเทศไทย ผู้นำด้านการบริโภคข้อมูลในภูมิภาค

น่าสนใจว่าประเทศไทยกำลังกลายเป็นกรณีศึกษาที่โดดเด่นในด้านการบริโภคข้อมูล โดยคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 67 GB ต่อผู้ใช้ต่อเดือนภายในปี 2030 ซึ่งสูงกว่าอินเดียที่คาดการณ์ไว้ที่ 62 GB ผู้บริโภคชาวไทยจัดว่าเป็น "ผู้บริโภคที่หิวกระหายข้อมูลอย่างยิ่ง" โดยใช้แอปพลิเคชันจำนวนมาก และได้รับแรงสนับสนุนจากคุณภาพเครือข่ายและราคาที่เข้าถึงได้ การที่ประเทศไทยมีผู้ให้บริการหลักเพียงสองรายในตลาดไม่ได้เป็นปัจจัยที่ตัดสินการเติบโตของทราฟฟิกข้อมูล การเติบโตของข้อมูลส่วนใหญ่มาจากการใช้งานของผู้ใช้และแอปพลิเคชันใหม่ๆ

ความสำคัญของ 5G Standalone และ Mid-band


การพัฒนา 5G ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์มากกว่า 340 เครือข่าย คลื่นความถี่ Mid-band (C-band) ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "จุดที่เหมาะสมที่สุด (sweet spot)" สำหรับ 5G Standalone และการเติบโตของทราฟฟิก 5G ใหม่ เนื่องจากสามารถรวมความจุสูงและการครอบคลุมที่กว้างขวางเข้าไว้ด้วยกัน ในหลายประเทศที่มีการใช้งาน 5G Standalone อย่างเต็มรูปแบบ มักจะมีการนำ Mid-band มาใช้งานในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังไม่มีการใช้งาน Mid-band 5G อย่างแพร่หลาย แม้ว่าจะมีการประมูลคลื่นความถี่ Mid-band ไปแล้ว แต่การใช้งาน 5G Standalone ที่เน้นกรณีการใช้งานเฉพาะ เช่น ในโรงพยาบาล ยังไม่แพร่หลายในวงกว้างสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

มร.แอนเดอร์ส เน้นย้ำอีกครั้งว่า "เพื่อให้ 5G ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการคือการนำเครือข่าย 5G SA มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างฐานย่านความถี่ Mid-Band เพิ่มเติม"

Mid-band กับการพัฒนา 5G และบทบาทต่อไป

การพัฒนา 5G ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั่วโลก. ปัจจุบันมีการเปิดใช้งานเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์มากกว่า 340 เครือข่ายทั่วโลก การครอบคลุมประชากร 5G ทั่วโลกคาดว่าจะสูงถึงประมาณ 55% ภายในสิ้นปี 2024 หากไม่รวมจีน การครอบคลุมจะเพิ่มขึ้นจาก 45% เป็น 85% ภายในปี 2030. สำหรับจีน การครอบคลุมประชากร 5G สูงถึง 95% แล้ว. ในส่วนของ 4G ปัจจุบันมีเครือข่าย 4G ทั่วโลกประมาณ 835 เครือข่าย โดย 346 เครือข่ายเป็น LTE Advance และ 160 เครือข่ายรองรับ 160 Gigabit การครอบคลุมประชากร 4G ทั่วโลก (ไม่รวมจีน) อยู่ที่ประมาณ 90% และคาดว่าจะถึง 95% ภายในปี 2030

คลื่นความถี่ Mid-band (C-band) เป็นจุดที่เหมาะสมที่สุด (sweet spot) สำหรับ 5G Standalone และการเติบโตของทราฟฟิก 5G ใหม่ คลื่น Mid-band สามารถรวมความจุสูงและการครอบคลุมที่กว้างขวางเข้าไว้ด้วยกัน. ในหลายประเทศที่มีการใช้งาน 5G Standalone อย่างเต็มรูปแบบ มักจะมีการนำ Mid-band มาใช้งานในวงกว้าง. ในยุโรป มีการครอบคลุมประชากร 5G ถึง 85% โดย 50% เป็นการใช้งานบน Mid-band และมีความพยายามในการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อเทียบเท่ากับอเมริกาเหนือและอินเดียที่ใช้ Mid-band อย่างมาก อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังไม่มีการใช้งาน Mid-band 5G อย่างแพร่หลาย แม้ว่าจะมีการประมูลคลื่นความถี่ Mid-band ไปแล้ว แต่การใช้งาน 5G Standalone ที่เน้นกรณีการใช้งานเฉพาะ เช่น ในโรงพยาบาล ยังไม่แพร่หลายในวงกว้างสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

ความหน่วง (Latency) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเครือข่ายมือถือยุคใหม่ เนื่องจากให้ความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ และการเชื่อมต่อจำนวนมาก. Latency เป็นหัวใจสำคัญสำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI, Augmented Reality (AR) และ Extended Reality (XR) รวมถึงการรับส่งข้อมูล

Ericsson พันธมิตรในการขับเคลื่อนดิจิทัลของไทย


อีริคสันในฐานะผู้นำในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G ทั่วโลก และเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน 5G เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน มีความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย โดยนำเสนอเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ในการสร้างเครือข่ายประสิทธิภาพสูง เชื่อถือได้ และยั่งยืน

"วิสัยทัศน์หลักของเรา คือ การสร้างเครือข่ายการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูง เชื่อถือได้ และยั่งยืน เพื่อเร่งการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล...เราเชื่อว่าการร่วมมือที่เข้มแข็งในระบบนิเวศเป็นสิ่งสำคัญช่วยปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้เต็มที่ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรในอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ เราตั้งเป้าส่งเสริมนวัตกรรม สร้างความเท่าเทียม และการเติบโตระยะยาวให้กับประเทศไทย" มร.แอนเดอร์ส กล่าวสรุป

อีริคสันยังคงเน้นย้ำถึงจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ ความซื่อสัตย์ และความโปร่งใส ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานในประเทศไทย พร้อมมองเห็นโอกาสใหญ่หลวงในการแปลงเป็นดิจิทัลในภาคส่วนต่างๆ เช่น โรงงาน การผลิต และท่าเรือ รวมถึงการใช้ Fixed Wireless Access (FWA) เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ AI ในประเทศ การมีเครือข่ายการเชื่อมต่อที่ดีและเสถียรจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจ AI ของประเทศไทย

การจัดสรรคลื่นความถี่ประเทศไทยและการมองไปข้างหน้า


ผู้ให้บริการในประเทศไทยเพิ่งได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่เพิ่มเติม ได้แก่ 10 MHz ในย่าน 2300 MHz และ 1500 MHz โดย คลื่น 1500 MHz นี้สามารถใช้ได้ทั้งกับเทคโนโลยี 4G และ 5G ในช่วงแรก อุปกรณ์ของผู้ใช้ส่วนใหญ่จะรองรับ 4G เป็นหลัก เช่น iPhone 15, iPhone 16, Samsung S24, S25 สามารถใช้งานคลื่นนี้ได้ทันที สำหรับ 5G ผู้ใช้จะต้องมีอุปกรณ์ที่รองรับ

สำหรับคลื่นความถี่ 850 MHz ม้านอกสายตาค่ายมือถือไทย ซึ่งไม่มีผู้สนใจในการประมูลครั้งล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญอีริคสันมองว่าคลื่นนี้อยู่ในตำแหน่งที่ "แปลก" เมื่อเทียบกับคลื่น 700 MHz และ 900 MHz ที่มีอยู่แล้ว ปัจจุบันคลื่น 850 MHz ส่วนใหญ่ให้บริการ 2G และ 3G ซึ่งในที่สุดจะต้องยกเลิก ดังนั้น การลงทุนในคลื่นนี้อาจไม่คุ้มค่าทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ แต่ในบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย มีการใช้คลื่น 850 MHz เป็นคลื่นหลัก สำหรับ 4G และบางส่วนมีการอัปเกรดเป็น 5G อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยด้วยโครงสร้างราคาคลื่นความถี่และผู้ให้บริการมีคลื่นความถี่ต่ำอยู่แล้ว (700 และ 900 MHz) จึงอาจไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนเพิ่มเติม

อนาคตการมาของ 6G ทั่วโลก


6G คาดว่าจะมาถึงประมาณปี 2030 จะต้องใช้คลื่นความถี่ใหม่ นอกจากคลื่นความถี่เดิมบางส่วน (เช่น 2.5-2.6 GHz) 6G จะต้องการคลื่นความถี่ "Sub-THz" หรือ "Wireless Backhaul" ซึ่งอยู่ในช่วง 7.125-8.45 GHz อีริคสันในฐานะผู้นำนวัตกรรมและพันธมิตรการขับเคลื่อนดิจิทัลในประเทศไทย ถือเป็นผู้นำในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G ทั่วโลก เกินครึ่งของทราฟฟิก 5G ทั่วโลก (นอกจีนแผ่นดินใหญ่) ดำเนินการผ่านเครือข่ายของ Ericsson บริษัทได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำในโครงสร้างพื้นฐาน 5G เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน

สำหรับประเทศไทย Ericsson มีความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยนำเสนอเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์ในการสร้างเครือข่ายประสิทธิภาพสูง เชื่อถือได้ และยั่งยืน เชื่อว่าการบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลนี้ต้องอาศัยความร่วมมือที่แข็งแกร่งทั่วทั้งระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม นักพัฒนา หรือชุมชนต่างๆ การทำงานร่วมกันนี้เป็นสิ่งสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล


อ่านรายงาน Ericsson Mobility ฉบับเต็ม มิถุนายน 2025 ได้ที่ลิงก์นี้