สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) ได้ประกาศเดินหน้ากลไกสำคัญเพื่อปฏิวัติกำลังคนประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการเปิดตัว Digital Skill Roadmap โดยมีเป้าหมายทะเยอทะยานที่จะ สร้างกำลังคนดิจิทัลเพิ่มขึ้น 1 ล้านคนต่อปี พร้อมดึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกและพันธมิตรจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมพัฒนาหลักสูตร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม และเตรียมพร้อมประเทศไทยสำหรับอนาคตเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ได้แถลงกรอบแนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับคนไทย (Digital Skill Roadmap) โดยเน้นย้ำว่า การพัฒนากำลังคนและบุคลากรดิจิทัลของประเทศคือหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ดีป้า ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบูรณาการการทำงานกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อส่งเสริมให้คนไทยทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยสามารถเรียนรู้และประยุกต์ใช้ดิจิทัลได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ผศ.ดร.ณัฐพล ยังได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘Digital Skill Roadmap คนไทยเรียน ประเทศไทยรอด’ เพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของโครงการนี้
Digital Skill Roadmap: ครอบคลุมทุกระดับทักษะ สู่เป้าหมาย 500 หลักสูตร
ล่าสุด ดีป้า ได้ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก เพื่อส่งเสริมการยกระดับกำลังคนและบุคลากรดิจิทัลไทยผ่านหลักสูตรการพัฒนาทักษะดิจิทัลในหลากหลายสาขา อาทิ AI & Data, Cloud, Cybersecurity, Digital Marketing และอื่นๆ ปัจจุบันมีหลักสูตรที่ขึ้นทะเบียนภายใต้กรอบแนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับคนไทย (Digital Skill Roadmap) แล้วกว่า 100 หลักสูตร ซึ่งครอบคลุมผู้ที่มีความรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับสูง โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มทักษะหลัก ได้แก่ Digital Skill for All หรือทักษะดิจิทัลสำหรับทุกคน, Digital-driven Career หรือทักษะดิจิทัลสำหรับอาชีพยุคใหม่, และ Digital Professional หรือทักษะดิจิทัลสำหรับอาชีพด้านดิจิทัลระดับสูง
ดีป้า ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนหลักสูตรการพัฒนาทักษะดิจิทัลตาม Digital Skill Roadmap ไปถึงกว่า 500 หลักสูตรในปี 2570 (ค.ศ. 2027) และประเมินว่าจะสามารถเพิ่มบุคลากรดิจิทัลให้กับประเทศได้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มโอกาสในภาคธุรกิจ ไม่เพียงแค่เพิ่มผลิตภาพให้กับองค์กร แต่ยังรวมถึงการมีบุคลากรขั้นสูงช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลให้ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนดึงดูดให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในประเทศไทย
มาตรการภาษีหนุนการพัฒนาและจ้างงานดิจิทัล
เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปลงทุนในการพัฒนาทักษะดิจิทัล ดีป้าได้ร่วมมือกับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สำคัญ
สำหรับ นิติบุคคลที่ส่งพนักงานเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรตาม Digital Skill Roadmap จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากค่าใช้จ่ายสูงสุดถึง 250% นอกจากนี้ หากนิติบุคคลมีการจ้างงานบุคคลที่มีทักษะตาม Digital Skill Roadmap ซึ่งทักษะอาชีพจะต้องตรงกับที่ระบุไว้ในประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 440) จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 150% จากค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนตามสัญญาจ้างแก่บุคคลดังกล่าว วงเงินไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคนต่อเดือน สูงสุด 12 เดือนต่อคน
มาตรการลดหย่อนภาษีนี้ครอบคลุมบริษัททุกขนาด ไม่ใช่แค่ SMEs เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การช่วยให้นักข่าวสามารถเรียนรู้เรื่อง AI เพื่อปรับปรุงการเขียนข่าวหรือการออกแบบภาพ ทำให้มีทักษะเพิ่มขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือส่งเสริมให้โรงงานสามารถฝึกอบรมพนักงาน โดยเฉพาะหัวหน้างาน ในการใช้เครื่องจักรใหม่, Robotic, หรือ AI โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 250% ทำให้การนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคู่กับการฝึกอบรมพนักงานทำได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ สำหรับ SMEs คณะรัฐมนตรีมีมติให้ลดหย่อนภาษี 200% สำหรับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Cloud และ AI Adoption สูงสุด 300,000 บาท จนถึงปี 2570 หากพนักงานยังไม่เข้าใจเทคโนโลยีเหล่านั้น บริษัทที่ขายเทคโนโลยี (ทั้งข้ามชาติและ Local Partner) สามารถขึ้นทะเบียนหลักสูตรฝึกอบรมผ่านมหาวิทยาลัยหรือช่องทางอื่นได้ เพื่อให้บริษัทที่ซื้อเทคโนโลยีนำค่าใช้จ่ายในการอบรมพนักงานมาลดหย่อนภาษีได้อีกต่อหนึ่ง โดยไม่มีเพดานสูงสุดสำหรับการลดหย่อนภาษีสำหรับพนักงาน แต่จะขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่ขึ้นทะเบียน ซึ่งมีตั้งแต่ 30,000 บาท ไปจนถึง 300,000 บาทต่อหลักสูตร หากเรียนเต็มหลักสูตรเป็นเวลา 1 ปี
ในส่วนของ มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax Reduction) นั้น กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาและรอเข้าคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงงบประมาณปี 2569 (2-3 เดือนข้างหน้า) มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้คนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง นอกเหนือจากกลุ่มแรงงานในระบบ ได้มีโอกาส Upskill ตัวเอง และมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น คาดว่าจะครอบคลุมคนในระบบประกันสังคมประมาณ 15-17 ล้านคน รวมถึงกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบจ้างงานแบบทางการ เช่น แม่บ้านที่ต้องการกลับมาทำงาน หรือผู้ที่อาจถูกเลิกจ้าง เพื่อให้พวกเขาสามารถ Reskill และมีอาชีพใหม่ หรือเป็นอาชีพอิสระได้ แนวคิดนี้เป็นการลงทุนเพื่อให้คนไทยมีทางเลือกทางออกในชีวิต ทั้งอาชีพและการทำงานใหม่ โดยเชื่อว่าจะไม่เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า และในอนาคต อาจมีข้อกำหนดให้ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์นี้ไปจดทะเบียนเป็น "One Man Company" ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Digit Planer เพื่อเปลี่ยนจาก Informal Sector เข้าสู่ Formal Sector ซึ่งจะช่วยปรับโครงสร้าง GDP ของประเทศ
กัสภณ สิงห์ประเสริฐ นักวิชาการภาษี ชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร ได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ ‘เจาะลึกสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกรอบ Digital Skill Roadmap’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือนี้
รับมือ Quantum Processing Unit (QPU): ก้าวสู่เทคโนโลยีแห่งอนาคต
ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Quantum Processing Unit (QPU) และการพัฒนาทักษะบุคลากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ
ผศ.ดร.ณัฐพล ได้กล่าวว่า "การทำ Digital Transformation ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจะเกี่ยวข้องกับ 3 ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐาน และกำลังคน ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด" การที่ประเทศไทยยังไม่มี QPU ทำให้การเตรียมความพร้อมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้ประเทศตกอยู่ในสถานการณ์ที่สายเกินไปเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีบางอย่างในอดีต QPU หรือเทคโนโลยีควอนตัม จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรองรับและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในอนาคต การลงทุนในเทคโนโลยีและบุคลากรจะช่วยเพิ่ม Human Capital และ Labor Productivity โดยรวมของประเทศให้สูงขึ้น
ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องสร้าง QPU ขึ้นมาเองทั้งหมด แต่เน้นการให้บริษัทเทคโนโลยีท้องถิ่น (Local Tech) สามารถนำเทคโนโลยีควอนตัมเหล่านี้ไปปรับใช้ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของ AI และ Supercomputing รายละเอียดเพิ่มเติมจะมีการเปิดเผยหลังจากงบประมาณได้รับการอนุมัติ
สร้าง "หัวกะทิ" ดิจิทัล และสกัดกั้นภาวะสมองไหล
การพัฒนาและตอบสนองความต้องการบุคลากรหัวกะทิเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดย "หัวกะทิ" ในที่นี้ หมายถึงบุคลากรที่มีความต้องการสูงในตลาดแรงงานดิจิทัล ได้แก่ Data Scientist, Data Analyst, Cloud Computing Specialist, AI Expert และที่สำคัญคือ Quantum Engineer ผศ.ดร.ณัฐพล ชี้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมีวิศวกรควอนตัมจำนวนน้อยมาก เนื่องจากยังไม่มีการสร้างเส้นทางอาชีพที่เชื่อมโยงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ
แนวทางแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรเหล่านี้ ได้แก่ การปลูกฝังแต่เยาว์วัย ควรสอนโค้ดดิ้งตั้งแต่เด็กเล็ก (อนุบาล) ไปจนถึงระดับมัธยม เพื่อให้เด็กรู้สึกคุ้นชินและสนุกกับการใช้เทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังมี การสร้าง Incentive ระยะกลาง โดยสร้างโอกาสให้เด็กที่เลือกคณะไปแล้ว (เช่น เศรษฐศาสตร์) สามารถเรียนรู้ทักษะที่ตลาดต้องการเพิ่มเติมได้ เช่น เป็น Developer ควบคู่ไปกับเศรษฐศาสตร์ แนวคิด "Pool University" คือการที่เด็กสามารถเรียนจบในหลักสูตรเดิมได้ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถเรียนรู้สาขาอื่นที่ตนเองสนใจเพิ่มเติมได้ด้วย ภาครัฐจะสร้างโอกาส โดยต้องได้รับคำยืนยันจากภาคเอกชนว่าจะรับเด็กเหล่านี้เข้าทำงาน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงความต้องการของภาคเอกชนกับทักษะของเด็กที่จบมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับปัญหาภาวะสมองไหล (Brain Drain) ซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาสการจ้างงานและอัตราค่าจ้างในต่างประเทศนั้น แนวทางป้องกันคือ การสร้างการลงทุนในประเทศ และสร้างงานที่สามารถให้เงินเดือนและคุณภาพชีวิตที่ดีพอ "หากคนไทยสามารถ Enjoy ชีวิตกับครอบครัวได้ เชื่อว่า 99% ของคนไทยต้องการที่จะอยู่ในประเทศ" ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว การสร้าง Environment ของการลงทุนที่ดี จะช่วยลดภาวะสมองไหลลงได้
กิจกรรมและโรดโชว์ทั่วประเทศ
ภายในงานแถลงข่าว ยังมีการเสวนาในหัวข้อ ‘Skill Matters: ทักษะดิจิทัลที่โลกต้องการ คนไทยต้องมี’ โดยผู้บริหารจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ได้แก่ คุณสุภารัตน์ จูระมงคล ผู้อำนวยการ การพัฒนาทักษะเอไอ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด และ คุณวารุณี รัชตพัฒนากุล หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัท SAP พร้อมด้วยผู้บริหารจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในประเทศ ได้แก่ คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด และ คุณโอชวิน จิรโสตติกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง FutureSkill
นอกจากนี้ ดีป้า พร้อมด้วยเครือข่ายพันธมิตรยังเตรียมจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ Digital Skill Roadmap พร้อมมอบสาระความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลทั้ง AI และ Cloud ใน 4 ภาคทั่วไทย โดยจะเริ่มต้นที่จังหวัดสงขลาในวันพรุ่งนี้ (วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม) ต่อด้วยจังหวัดเชียงใหม่ในวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม จังหวัดชลบุรีในวันอังคารที่ 8 กรกฎาคม และปิดท้ายที่จังหวัดขอนแก่นในวันอังคารที่ 15 กรกฎาคม ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก depa Thailand และเข้าดูหลักสูตรที่ขึ้นทะเบียน Digital Skill Roadmap ได้ที่ https://techhunt.depa.or.th/digitalskill หรือดูหลักสูตรที่ขึ้นทะเบียนและกดรับคูปองได้ทางแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’
"ดีป้าเชื่อมั่นว่า การดำเนินงานครั้งนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้เพื่อให้ไทยสามารถยืนหยัดได้ในโลกยุคดิจิทัล คนไทยเรียน ประเทศไทยรอดแน่นอนครับ" ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวทิ้งท้าย