14 มิ.ย. 2568 206 0

ดีอี ลุย จ.พิษณุโลก เปิดศูนย์ดิจิทัลชุมชน หนุน e-Office เสริมแกร่ง ปชช. ต้านภัยข่าวปลอม มุ่งหน้ารัฐบาลดิจิทัล

ดีอี ลุย จ.พิษณุโลก เปิดศูนย์ดิจิทัลชุมชน หนุน e-Office เสริมแกร่ง ปชช. ต้านภัยข่าวปลอม มุ่งหน้ารัฐบาลดิจิทัล


พิษณุโลก – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัลอย่างเข้มข้น นำทีมลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 13-14 มิถุนายน 2568 เพื่อเปิดศูนย์ดิจิทัลชุมชน ยกระดับการให้บริการภาครัฐด้วยระบบ e-Office และเร่งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันประชาชนให้รู้เท่าทันข่าวปลอม โดยมุ่งเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างสังคมดิจิทัลที่เข้มแข็ง



เปิดศูนย์ดิจิทัลชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ


เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นประธานเปิดศูนย์ดิจิทัลชุมชนโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม พร้อมด้วยนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (เลขาฯ ดศ.) โดยมี อัครโชค สุวรรณทอง ปลัดจังหวัดพิษณุโลก จ่าสิบเอกประมวล วันมี ผู้อำนวยการโรงเรียน ตลอดจนคณะครู นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ



ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ ปลัดกระทรวงดีอี กล่าวเน้นย้ำว่า “ศูนย์ดิจิทัลชุมชนมีบทบาทสำคัญในการให้บริการด้านดิจิทัลของรัฐบาล ทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม” ท่านยังกล่าวเสริมว่าโครงการนี้เป็นการยกระดับศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชนทั่วประเทศ เพื่อผลักดันให้เกิดสังคมแห่งการสร้างภูมิปัญญาและการเรียนรู้ ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว อันเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่การพัฒนาในทุกมิติและมีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ


เวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาฯ ดศ. ซึ่งกล่าวว่า “ศูนย์ดิจิทัลชุมชนจัดตั้งขึ้นตามนโยบายและแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงฯ มีบทบาทในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์ดิจิทัล การพัฒนาทักษะดิจิทัล และส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับชุมชน เพื่อลดช่องว่างทางด้านดิจิทัล” สำหรับศูนย์ดิจิทัลชุมชนโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมแห่งนี้ เริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 มีกลุ่มเป้าหมายนักเรียนกว่า 4,000 คน และประชาชนในตำบลท่าทองกว่า 14,000 คน โดยส่วนใหญ่จะให้บริการสืบค้นข้อมูล จัดอบรมให้ความรู้ด้านดิจิทัล รวมถึงเป็นสถานที่ให้บริการรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์และบริการดิจิทัลต่างๆ ของสำนักงานศาลปกครองสูงสุด พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการสร้างเพจ Facebook/TikTok ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและแม่บ้าน เพื่อโปรโมทสินค้าของชุมชนจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ไปรษณีย์ไทย



สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ได้ดำเนินการยกระดับศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชนไปสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชนแล้วจำนวน 1,722 แห่ง ระหว่างปี พ.ศ. 2566 – 2571 ซึ่งศูนย์ฯ แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เหมาะสมกับบริบทการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไป อุปกรณ์ที่จัดสรรมีความหลากหลายและทันสมัย อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน สมาร์ททีวี โปรเจคเตอร์ หน้าจอสมาร์ทบอร์ด เครื่องขยายเสียง ระบบกล้อง CCTV ชุดสตูดิโอถ่ายภาพ และพื้นที่สร้างสรรค์ผลงาน (Co-working space) ที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนุนใช้งาน e-Office มุ่งสู่รัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ


ในวันเดียวกันนั้น (13 มิถุนายน 2568) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ ปลัดกระทรวงดีอี และนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาฯ ดศ. ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินนโยบายการปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยเน้นย้ำการใช้งานระบบงานเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) ในระบบ e-Office ภายใต้ ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ณ เทศบาลนครพิษณุโลก


ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ ชี้แจงว่า “กระทรวงดีอีได้สนับสนุนการยกระดับหน่วยงานภาครัฐให้ใช้ระบบ e-Office เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการด้านเอกสารและระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในองค์กร พร้อมทั้งยังช่วยยกระดับการให้บริการประชาชนให้สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน และลดการใช้กระดาษ ซึ่งเป็นการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ”

กระทรวงดีอีได้เร่งรัดการสนับสนุนการใช้งานระบบ e-Office โดยกำหนดเป้าหมายการใช้งานระบบของหน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปี 2568 ไว้ที่ 1,000,000 ผู้ใช้งาน กรอบแนวทางการขับเคลื่อนภาครัฐผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลแบบไร้กระดาษ (Paperless Government) สู่รัฐบาลดิจิทัล แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กลไกส่วนภูมิภาค ซึ่งกำหนดให้โครงการ “Digital Korat” จังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดต้นแบบในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการภาครัฐ ก่อนขยายไปยังส่วนภูมิภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ อาทิ จังหวัดปทุมธานี ชลบุรี และนครศรีธรรมราช โดยมอบหมายให้สำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นผู้ประสานการขอใช้งานในระดับจังหวัด สำหรับจังหวัดพิษณุโลกเอง มีหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เริ่มดำเนินการใช้งานระบบ e-Office ไปแล้วจำนวน 57 แห่ง คิดเป็น 1,046 ผู้ใช้งาน หรือ 55.3% ของหน่วยงานภายในจังหวัด และกำลังดำเนินการขยายการใช้งานสู่หน่วยงานราชการเพื่อให้ครอบคลุมทั้งจังหวัดต่อไป


ส่วนกลไกส่วนกลาง กระทรวงดีอีได้ร่วมขับเคลื่อนระบบ e-Office ในระดับกระทรวงและหน่วยงานราชการส่วนกลาง โดยมีการจัดทำ MOU ขับเคลื่อนการใช้งานเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในระบบ e-Office ภายใต้บริการคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC กับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และล่าสุดคือกระทรวงคมนาคม


ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมาของปี 2568 กระทรวงดีอีได้เร่งรัดการสนับสนุนการใช้งานระบบ e-Office ในหน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศแล้วกว่า 70 หน่วยงาน มีจำนวนผู้ดำเนินการใช้งานราว 610,000 คน และกำลังขยายการใช้งานในหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการองค์กรและการให้บริการประชาชนเพิ่มมากขึ้นผ่านการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล ก้าวสู่สังคมไทยไร้กระดาษต่อไป ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐ (ส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่น และสถานศึกษาของรัฐ) สามารถขอรับการสนับสนุนการใช้งานระบบ e-Office ภายใต้บริการคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC พร้อมทั้งรับ CA (Certification Authority) สำหรับผู้มีอำนาจลงนามหนังสือภายนอกได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mdes.go.th

คิกออฟเสริมทักษะดิจิทัล “ผู้นำชุมชน – ผู้สูงอายุ - เยาวชน” สร้างภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันข่าวปลอม



ในวันที่ 13-14 มิถุนายน 2568 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ ปลัดกระทรวงดีอี ได้เป็นประธานการจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม ครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Anti Fake News Center: AFNC) จังหวัดพิษณุโลก โดยมีนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาฯ ดศ. ในฐานะโฆษกกระทรวงดีอี พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ผู้นำชุมชน ผู้สูงอายุในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และเยาวชนจากโรงเรียนวังทองพิทยาคม เข้าร่วม




ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้ เสริมสร้างทักษะการใช้งานเทคโนโลยี สร้างภูมิคุ้มกัน และแนวทางป้องกันภัยทางออนไลน์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานดิจิทัลและรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชน ท่านยังชี้ว่าสอดคล้องกับที่เทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) กำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ทั้งในการเผยแพร่ข้อมูลเนื้อหาและข่าวสารในอินเทอร์เน็ต ทำให้ประชาชนจำเป็นต้องมีความเข้าใจในการวิเคราะห์ข่าว รู้จักแยกแยะข้อความที่เป็นข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 (ไตรมาส 1) พบว่าประชาชนทั่วประเทศใช้โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนมากถึงร้อยละ 96.3 ทำให้ข้อมูล ข่าวสาร และเนื้อหาต่างๆ มักแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะข่าวสารที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและส่งผลกระทบต่อประชาชน สังคม เศรษฐกิจ หรือความมั่นคงของประเทศในวงกว้าง


ดังนั้น กระทรวงดีอีจึงกำหนดจัดกิจกรรมนิทรรศการสร้างความรู้และเสริมทักษะรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอมให้กับผู้นำชุมชน กลุ่มผู้สูงอายุ และเยาวชนในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและพื้นที่ใกล้เคียง โดยเน้นการส่งเสริมทักษะการใช้งานเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ในการวิเคราะห์เชิงลึก สามารถแยกแยะและตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ ปิดกั้นช่องทางการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพ และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยสามารถแจ้งเบาะแส สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย www.antifakenewscenter.com และช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Line OA: @antifakenewscenter, เฟซบุ๊ก แฟนเพจ: Anti Fake News Center Thailand, ทวิตเตอร์ (X): https://twitter.com/AFNCThailand, Tiktok: @antifakenewscenter, และ Instagram: afnc_thailand



การจัดกิจกรรมครั้งนี้เน้นสร้างทักษะด้านดิจิทัลและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนเพื่อการรู้เท่าทัน “ข่าวปลอม” ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งของอาชญากรรมออนไลน์ โดยให้ความสำคัญกับนักเรียนและเยาวชน ซึ่งถือเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ และเป็นสื่อสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงาน โรงเรียน และสถาบันครอบครัว สำหรับผู้นำชุมชนและกลุ่มผู้สูงอายุนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของผู้เผยแพร่ส่งต่อความรู้และทักษะภูมิคุ้มกันด้านอาชญากรรมออนไลน์ให้กับชุมชนและประชาชนในพื้นที่ต่อไป

COMMENTS