โดย นครินทร์ เทียนประทีป
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
ในโลกยุคดิจิทัล เทคโนโลยีเปรียบเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมที่พลิกโฉมชีวิต อีกด้านกลับเปิดประตูให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์เข้าถึงผู้คน องค์กร และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้ลึกและเร็วยิ่งขึ้น ความมั่นคงปลอดภัยจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “เงื่อนไขของการอยู่รอด” เนื่องจากภัยไซเบอร์ได้ยกระดับทั้งความซับซ้อนและผลกระทบอย่างไม่เคยมีมาก่อน
AI: ดาบสองคมในโลกยุคไซเบอร์
ปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหัวใจสำคัญของทั้งฝ่ายป้องกันและฝ่ายโจมตีในโลก ไซเบอร์ ฝ่ายป้องกันเริ่มใช้ AI ตรวจจับความผิดปกติ วิเคราะห์พฤติกรรม และตอบสนองภัยคุกคามได้แบบเรียลไทม์ ขณะที่แฮกเกอร์ก็ใช้ AI พัฒนา “มัลแวร์อัจฉริยะ” ที่เรียนรู้และปรับตัวได้เอง ปรากฏการณ์อย่างการสังเคราะห์ภาพนิ่ง เสียง หรือภาพเคลื่อนไหวด้วย AI (Deepfake) การสังเคราะห์เสียงเพื่อเลียนแบบเสียงต้นฉบับของคน (Voice Clone) ถูกนำมาใช้สร้างเนื้อหาปลอมเพื่อหลอกลวงในระดับที่แทบแยกไม่ออกจากของจริง เช่น การปลอมเสียงผู้บริหารเพื่อสั่งการผิด ๆ หรือการลวงให้โอนเงิน การปลอมแปลงในลักษณะนี้กำลังกลายเป็นภัยที่ยากต่อการตรวจจับและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล
จากการหว่านแหสู่เป้าหมายเฉพาะจุด
แนวโน้มภัยคุกคามเปลี่ยนจากการโจมตีแบบสุ่มหรือหว่านแห
สู่ การเจาะจงเป้าหมาย (Targeted Attack) มากขึ้น แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลส่วนตัวจากโซเชียลมีเดียและช่องทางสื่อสารต่าง ๆ
ในการออกแบบฟิชชิ่งอีเมลหรือหลอกลวงแบบเฉพาะบุคคล โดยเป้าหมายไม่ได้จำกัดแค่บุคคลทั่วไป
แต่อาจรวมถึงหน่วยงานรัฐ องค์กรธุรกิจ หรือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น สาธารณูปโภค
ที่ใช้ระบบอัตโนมัติและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นหัวใจหลัก
นอกจากนี้ ยังเป็นการโจมตีที่แฝงตัวผ่าน “ซัพพลายเชน” ผู้ให้บริการจากภายนอก เช่น ผู้พัฒนาโปรแกรม พันธมิตรธุรกิจ หรือระบบไอทีที่องค์กรใช้งานอยู่ โดยเฉพาะการโจมตีผ่าน Ransomware-as-a-Service (RaaS) ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเช่าเครื่องมือโจมตีแม้ไม่มีทักษะด้านเทคนิค ทำให้การโจมตีระบบกลายเป็นเรื่องง่ายและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อภัยไซเบอร์ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค
แต่กระทบถึงชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
ความเสียหายจากภัยคุกคามไซเบอร์ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับข้อมูลหรือเงินทุน
แต่กระทบถึง “ความเชื่อมั่น” ของสาธารณชนและความมั่นคงระดับชาติ
องค์กรที่ถูกเจาะระบบอาจเผชิญการสูญเสียชื่อเสียง การฟ้องร้อง
และปัญหาการดำเนินธุรกิจอย่างรุนแรง เพื่อให้ทันกับภัยคุกคามที่ทวีความซับซ้อน
มาตรการด้านความมั่นคงทางไซเบอร์จำเป็นต้องปรับตัวแบบรอบด้าน
โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้:
การนำ
AI
มาเสริมระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อตรวจจับและตอบสนองต่อเหตุผิดปกติแบบเรียลไทม์ในการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นตัวเงินหรือชื่อเสียง
การฝึกอบรมบุคลากร
สร้างวัฒนธรรมการตระหนักรู้ถึงภัยไซเบอร์ในทุกระดับ เป็นการลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงให้เปิดเผยข้อมูลสำคัญขององค์กรหรือข้อมูลส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หมั่นประเมินความเสี่ยงจากซัพพลายเชน
อย่างสม่ำเสมอ ทั้งพนักงานในองค์กร ทีมงานที่กระจายอยู่นอกองค์กร
เวนเดอร์หรือซัพพลายเออร์แบบเรียลไทม์
เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่หลบเลี่ยงการตรวจจับและกระจายความเสียหายเข้าสู่ระบบไอทีขององค์กรผ่านช่องทางที่คุ้นเคย
การจัดทำแผนรับมือเหตุการณ์
(Incident
Response Plan) เพื่อจำกัดความเสียหายเมื่อถูกโจมตี
การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคาม ร่วมกำหนดแนวปฏิบัติ และเครื่องมือในการเผชิญเหตุและพร้อมรับมือร่วมกัน
แนวโน้มและกลยุทธ์ในอนาคต
เมื่อการติดตามแนวโน้มด้านเทคโนโลยีมีผลต่อการกำหนดทิศทางความปลอดภัยไซเบอร์อย่างมีนัยสำคัญ
เพราะทันทีที่เกิดช่องโหว่ในระบบ
ผู้บุกรุกจะฉวยประโยชน์จากช่องโหว่ในการโจมตีอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีแบบเดียวกัน
ดังนั้น
Zero Trust
Architecture หรือสถาปัตยกรรมแบบไม่เชื่อถือผู้ใดเลยโดยอัตโนมัติ
จะกลายเป็นแนวทางหลักในการจัดการความปลอดภัย
แยกและควบคุมการเข้าถึงระบบแบบละเอียดถึงระดับผู้ใช้และอุปกรณ์
Micro Segmentation หรือการแบ่งเครือข่ายย่อย
เพื่อลดการแพร่กระจายของภัยเมื่อระบบใดระบบหนึ่งถูกเจาะ
การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมไอที-โอทีเข้าด้วยกัน
โดยเฉพาะระบบควบคุมในภาคอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบาง
รับมือ
RaaS
และฟิชชิ่งด้วยการตรวจจับขั้นสูง เช่น
sandbox,
behavior analytics และ multi-factor authentication
เตรียมรับยุค Quantum Computing ด้วยการเริ่มใช้การเข้ารหัสที่ทนทานต่อควอนตัม เพื่อป้องกันแฮกเกอร์ที่พร้อมนำควอนตัมมาถอดรหัสข้อมูลขององค์กรในอนาคต
ภัยคุกคามทางไซเบอร์
ไม่ใช่ภาพลวงในโลกดิจิทัล
แต่แทรกซึมอยู่ในชีวิตจริงของผู้คนและองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม มาตรการรับมือจึงต้อง
“
เร็ว-ลึก-ร่วมมือ” ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงภัยที่กำลังเผชิญ
พร้อมกับการร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน คือ กุญแจสำคัญสู่การ “อยู่รอด”
อย่างมั่นคงและยั่งยืน
แหล่งที่มา:
-
Forbes
Technology Council. 2025, “Top 10 Technology Trends For
2025”, https://www.forbes.com/councils/forbestechcouncil/2025/02/03/top-10-technology-trends-for-2025/
-
Gartner.
2025, “Top 10 Strategic Technology Trends for 2025”, https://www.gartner.com/en/articles/top-technology-trends-2025
-
Money
and Banking, 2025, “Check Point reveals Thai organization
are suffering from cyber attacks 70% more than the rest of the world”,
http://en.moneyandbanking.co.th
-
SentinelOne,
2025, “10 Cyber Security Trends For 2025”, http://www.sentinelone.com
- World Economic Forum, 2025, “Global Cybersecurity Outlook 2025”, https://www.weforum.org/publications/global-cybersecurity-outlook-2025/digest