แม้พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์…จะมีผลบังคับใช้ในไทยมานานกว่า 20 ปี และมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางกฎหมายสำหรับการทำธุรกรรมในยุคดิจิทัล แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดเปลี่ยนที่ทำให้เราทุกคนเริ่มหันมาทำธุรกรรมออนไลน์อย่างจริงจัง กลับเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เมื่อโลกต้องเผชิญกับมาตรการล็อกดาวน์ การเดินทางและการดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิมถูกจำกัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำธุรกรรรมออนไลน์ จากที่เคยเป็นทางเลือก ก็กลายมาเป็นทางหลักในทุกวันนี้ โดยเฉพาะการทำสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Contract ที่ถูกพูดถึงและใช้เพิ่มมากขึ้น เพราะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการจัดทำและลงนามในสัญญา จากเดิมที่ต้องใช้กระดาษและพบปะกันโดยตรง กลายเป็นกระบวนการที่ทำได้ผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ดี แม้หลายองค์กรจะเริ่มนำ e-Contract ไปใช้งานจริงแล้วแต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่ยังมีคำถามในใจ ไม่ว่าจะเป็น...สัญญาอิเล็กทรอนิกส์ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่? ปลอดภัยและเชื่อถือได้แค่ไหน? ต้องเตรียมพร้อมเรื่องเทคโนโลยีอย่างไรบ้าง?
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ ส่งเสริม สนับสนุน และสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมออนไลน์ของประเทศ ไม่รอช้า เปิดเวที ETDA Live ไลฟ์กำลังดี EP.3: “ปิดดีลสัญญา จบไว มั่นใจด้วย e-Contract” พาทุกคนไปเจาะลึกและตอบทุกคำถามเกี่ยวกับสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ โดยชวน สมประสงค์ โหรชัยยะ ผู้ชำนาญการอาวุโสจากศูนย์พัฒนากฎหมาย ETDA และ สิริณัฐ ตั้งธรรมจิต หัวหน้าทีมที่ปรึกษาและวิทยากรจาก ADTE by ETDA มาร่วมให้ความรู้เพื่อสร้างความมั่นใจว่า “e-Contract ปลอดภัย เชื่อถือได้ และมีกฎหมายรับรอง!
รู้หรือไม่ e-Contract อยู่รอบตัวเรา! กฎหมายรองรับ แค่ “แสดงเจตนา-ระบุตัวตน” ชัด
คำว่า “e-Contract” อาจฟังดูเหมือนไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วเราทุกคนต่างใช้ e-Contract อยู่แทบทุกวัน เพราะ e-Contract คือการทำข้อตกลงระหว่างบุคคลหรือองค์กรผ่านช่องทางดิจิทัล โดยไม่ต้องใช้กระดาษหรือเซ็นชื่อด้วยปากกา แต่สามารถยืนยันข้อตกลงได้ผ่านระบบดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น การกดยอมรับเงื่อนไขในแอปพลิเคชัน การคุยโต้ตอบทางอีเมลที่ลงชื่อกำกับไว้ท้ายข้อความ การแนบไฟล์สัญญาบนแพลตฟอร์มออนไลน์แล้วคลิก “ยืนยัน” หรือการใช้ e-Signature และ Digital Signature เช่น การเซ็นชื่อด้วยปากกา Stylus บนแท็บเล็ต ขอเพียงแค่ “แสดงเจตนา” และ “ระบุตัวตน” ของผู้ลงนามได้อย่างชัดเจน ก็ถือเป็น e-Contract ทั้งสิ้น และมีผลทางกฎหมาย เช่นเดียวกับการทำสัญญาบนกระดาษทุกประการ
ปัจจุบัน e-Contract ใช้ได้เกือบทุกธุรกรรมทั้ง ภาครัฐและเอกชน ยกเว้นแค่บางกรณีที่กฎหมายระบุไว้ว่าต้องใช้สัญญาแบบเดิมเท่านั้น อย่างสัญญาที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก เช่น พินัยกรรม การหย่า หรือสัญญาครอบครัวอื่นๆ ซึ่งมีเนื้อหาละเอียดอ่อน จำเป็นต้องมีพยานและเจ้าหน้าที่ร่วมรับรู้
เมื่อทุกอย่างทำได้ครบ จบทุกขั้นตอนในโลกออนไลน์ ก็ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ ไม่ต้องใช้กระดาษ ไม่ต้องนัดพบกันเพื่อเซ็น และไม่ต้องรอรับ-ส่งเอกสารไป-มาให้เสียเวลา แค่ปลายนิ้วคลิก! ก็สามารถทำสัญญาได้ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมมีผลทันทีแบบ Real-time ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน ประหยัดเวลา แต่ยังช่วยลดภาระในการจัดเก็บเอกสาร เพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบ ติดตาม และลดความเสี่ยงจากเอกสารสูญหายหรือถูกปลอมแปลง
e-Contract ข้อดีเพียบ แต่ทำไมหลายองค์กร ยังไม่ใช้
แม้ e-Contract ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมี พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการใช้งานมานานแล้ว อีกทั้งยังมีข้อดีมากมาย แต่หลายๆ องค์กรก็ยัง “ไม่มั่นใจ” และยังไม่กล้าเปลี่ยนมาทำสัญญาแบบ e-Contract เพราะยังมีความกังวลหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
● ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับผลและประเด็นทางกฎหมาย
แม้จะมีกฎหมายรับรองแล้ว
แต่หลายองค์กร
ยังกังวลว่าศาลอาจจะไม่ยอมรับ e-Contract หากเกิดข้อพิพาท
ฟ้องร้อง
● “เทคโนโลยีที่ใช้ลงนาม” เชื่อถือได้แค่ไหน เช่น ปากกา Stylus, PIN, หรือการลงชื่อท้ายอีเมล
จะถือเป็นการลง “ลายมือชื่อ” ตามกฎหมายได้จริงหรือไม่
สามารถยืนยันตัวตนหรือแสดงเจตนา
ได้หรือเปล่า
● กังวลเรื่องความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของเอกสาร ว่าหากไม่มีระบบจัดเก็บที่ดี ไฟล์อาจถูกปลอมแปลง
แก้ไขโดยไม่รู้ตัวหรือไรม่
● มองว่าต้องลงทุนเพิ่ม
ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์หรืออบรมพนักงาน จึงทำให้มองว่า
เป็นภาระมากกว่าโอกาส
● ยึดติดกับวัฒนธรรมเดิมที่ใช้กระดาษและลายเซ็นด้วยปากกา
● “คู่สัญญา”
ยังไม่พร้อม นอกจากความพร้อมขององค์กรตนเองแล้ว
ยังต้องดูความพร้อมของอีกฝ่าย เพราะหากคู่สัญญายังไม่พร้อม ไม่เข้าใจ
หรือยังชินกับระบบกระดาษแบบเดิมก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
● แนวทางที่มีอาจยังไม่ตอบโจทย์และไม่เข้ากับบริบทขององค์กร และหลายองค์กรก็ยังต้องการคำแนะนำที่ลงลึกในรายละเอียดและตอบโจทย์เฉพาะของตนเอง
เปิดเงื่อนไข ใช้
e-Contract อย่างไร กฎหมายรองรับ
e-Contract
หรือสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหนึ่งในธุรกรรมสำคัญที่หลายองค์กรหันมาใช้กันมากขึ้นในยุคดิจิทัล ด้วยความสะดวก รวดเร็ว
และลดภาระจากเอกสารกระดาษ โดยผู้เชี่ยวชาญจาก ETDA ยืนยันชัดเจนว่า “e-Contract
เป็นธุรกรรมที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และได้รับการรองรับตาม
พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544” แต่การใช้งาน e-Contract
ให้ถูกต้องตามกฎหมายและปลอดภัย ต้องมี องค์ประกอบหลักครบ 3 ด้าน ดังต่อไปนี้
● ตัวเอกสารและเนื้อหาของสัญญาข้อมูลทั้งหมดต้องสามารถเข้าถึงได้ (Accessible) มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ สามารถเปิดดูย้อนหลังได้เสมอ
โดยเนื้อหาต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม ไม่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง
● ต้องมี
"ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature)” ที่ระบุตัวตนผู้ลงนาม และ แสดงเจตนา ได้ชัดเจน แม้ไม่ได้เซ็นลงบนกระดาษ แต่ต้องมี e-Signature ซึ่งมี 2 แบบหลักๆ
ได้แก่ e-Signature ทั่วไปที่ระบุตัวตนได้
เช่น การลงชื่อท้ายอีเมล การล็อกอินเข้าใช้งานแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ การกดยืนยัน
กดยอมรับ การใช้ PIN/Password รวมถึงการเซ็นผ่าน Stylus Pen และอีกรูปแบบ
Digital Signature คือ
e-Signature อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากกว่า
เพราะมีการเข้ารหัสและถอดรหัสด้วยระบบ Public/Private Key ทำให้สามารถตรวจสอบได้
ว่าใครเป็นคนลงนาม ลงเมื่อไหร่ มีการแก้ไขภายหลังหรือไม่
และมีกระบวนการที่พิสูจน์ได้ว่า
คนที่ลงนามเป็นคนนี้จริงๆ
● มีระบบจัดเก็บที่ปลอดภัย ตรวจสอบได้ และรองรับการพิสูจน์ย้อนหลัง ควรมีการจัดเก็บไว้ในระบบกลางขององค์กร (Central Storage) ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ส่วนตัว เพื่อให้สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งต้องมีระบบดูแลความปลอดภัย ควบคุมสิทธิ์ การเข้าถึงข้อมูล มีระบบป้องกันการเปลี่ยนแปลง แก้ไข และแจ้งเตือนเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งตรวจสอบย้อนหลังได้
เริ่มใช้
e-Contract เตรียมตัวอย่างไร?
สำหรับองค์กรที่สนใจอยากเปลี่ยนมาใช้ e-Contract
แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ผู้เชี่ยวชาญ ETDA แนะนำแนวทางเบื้องต้นไว้คือ ก่อนติดตั้งระบบหรือโซลูชันใดๆ
สิ่งที่องค์กรควรมีเป็นอันดับแรกคือ ความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งในมุมกฎหมาย
เทคโนโลยี และวิธีการใช้งาน ซึ่งปัจจุบัน ETDA ได้จัดทำ Guideline ที่ชื่อว่า
“ข้อเสนอแนะแนวทางการจัดทำนิติกรรมหรือสัญญาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์” เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้กับผู้ที่สนใจ ต่อมาคือ เลือกโซลูชันที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทขององค์กร
โดยการใช้ e-Contract ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูง เพราะสามารถเลือกโซลูชันที่เหมาะกับขนาดและบริบทของแต่ละองค์กรได้
และไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ คู่สัญญา ความเสี่ยง
และความซับซ้อนของสัญญาแต่ละประเภท เช่น บางธุรกิจอาจเหมาะกับระบบง่าย ๆ
เพียงแค่ให้ลูกค้ากดยืนยันผ่านอีเมล บางธุรกิจต้องการความปลอดภัยสูง จำเป็นต้องใช้
Digital Signature บางธุรกิจมีคู่สัญญาหลายแบบก็อาจใช้หลายโซลูชันผสมกัน นอกจากนี้
หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยังไม่พร้อมใช้ e-Contract แบบ 100% ก็สามารถใช้แนวทางแบบผสม
(Hybrid) ได้ เช่น
คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งอาจลงลายมือชื่อบนกระดาษ แล้วสแกนหรือแปลงเป็นไฟล์ดิจิทัล และส่งให้อีกฝ่ายลงนามด้วย Digital Signature ก็สามารถทำได้ตามกฎหมาย
หากกระบวนการจัดเก็บและพิสูจน์ตัวตนถูกต้อง และต้องมั่นใจได้ว่าระบบหรือวิธีการที่ใช้นั้นสามารถระบุตัวตน
แสดงเจตนา และมีการจัดเก็บที่ปลอดภัยสอดคล้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้
หากครบถ้วนตามนี้ก็ถือว่า ถูกต้องสมบูรณ์และมีผลทางกฎหมายทันที
นอกจาก
พ.ร.บ. ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่รับรองการใช้ e-Contract แล้ว
อีกหนึ่งความก้าวหน้า
ที่ช่วยเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นคือ การที่ประเทศไทยได้เข้าร่วม “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการใช้การติดต่อสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ในสัญญาระหว่างประเทศ”
หรือเรียกย่อๆ ว่า อนุสัญญา ECC ขององค์การสหประชาชาติ
ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสากลที่หลายประเทศใช้เป็นกรอบร่วมกันในการรับรองธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศ
โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม
2568 เป็นต้นไป นั่นหมายความว่าในอนาคตอันใกล้ e-Contract ไม่เพียงแค่มีกฎหมายรองรับในประเทศไทย แต่ยังได้รับการยอมรับในระดับสากล
ผู้เชี่ยวชาญ ETDA ย้ำ การใช้ e-Contract
ไม่ใช่การ “บังคับให้เปลี่ยน” แต่คือ การ
“ชี้ให้เห็นโอกาส” และ “เสนอทางเลือก” ที่ช่วยประหยัดเวลา ทรัพยากร
และเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง
ซึ่งหากองค์กรหรือหน่วยงานใดมีความพร้อมและต้องการเริ่มต้นใช้งาน
แต่ยังมีข้อสงสัยหรือยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มอย่างไร ETDA
พร้อมให้คำปรึกษาแบบเจาะลึกในทุกขั้นตอน
เพื่อช่วยให้ทุกองค์กรเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลได้อย่างมั่นใจและ “ชีวิตดีเมื่อมีดิจิทัล” ไปด้วยกัน ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ETDA Thailand