8 พ.ค. 2568 263 0

AIS ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน 100 ราย ขับเคลื่อน 'ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์' สกัดภัยมิจฉาชีพสร้างสังคมดิจิทัลยั่งยืน

AIS ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน 100 ราย ขับเคลื่อน 'ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์' สกัดภัยมิจฉาชีพสร้างสังคมดิจิทัลยั่งยืน

AIS ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายกว่า 100 องค์กร ผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ ตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง และขับเคลื่อนสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการปกป้องประชาชนจากภัยทางเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ



ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือภัยไซเบอร์ที่มีความรุนแรงและหลากหลายรูปแบบมากขึ้น กลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การหลอกให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันปลอม การดูดเงินออกจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว หรือการล้วงข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ ซึ่งนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล. จากสถิติการแจ้งความออนไลน์สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 จนถึง 30 เมษายน 2568 พบว่ามี คดีออนไลน์กว่า 887,315 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายถึง 77 ล้านบาทต่อวั

ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ทำงานเชิงรุกผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ การกำหนดและพัฒนากฎหมาย การสร้างความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยงาน และการยกระดับความมั่นคงระดับประเทศ. เป้าหมายคือการเร่งปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภายใต้ปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ซึ่งรวมถึงมาตรการซีลชายแดนเพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการแก้ไขกฎหมายควบคุมบัญชีม้า-ซิมม้า. นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปปง., กระทรวงดิจิทัลฯ รวมถึงภาคเอกชนอย่างธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มดิจิทัล. รัฐบาลยังคงเดินหน้ายกระดับนโยบายความปลอดภัยทางไซเบอร์สู่ระดับชาติ และบูรณาการกับทุกภาคส่วน


พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า เชื่อมั่นการยกระดับความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ปลอดภัยจากภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน ซึ่งการหลอกลวงเหล่านี้สามารถสร้างรายได้จำนวนมาก อาจมากกว่าธุรกิจผิดกฎหมายบางประเภท เช่น ยาเสพติด ด้วยซ้ำไป ทางด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกทั้งในด้านการป้องกัน ปราบปราม และพัฒนาโครงสร้างการทำงานเพื่อรับมืออาชญากรรมยุคใหม่. มีการจัดตั้ง "ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ" (ศปอส.ตร.) เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และเปิดปฏิบัติการเชิงรุก. มีการนำเทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์ธุรกรรมมาใช้เพื่อติดตามเส้นทางการเงินของขบวนการอาชญากร. นอกจากนี้ยังร่วมมือกับภาคีเครือข่ายและผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS เพื่อเชื่อมโยงการทำงานและการจับกุมผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง


สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล AIS มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ใช้งานสู่โลกออนไลน์. AIS มุ่งมั่นสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์และทักษะออนไลน์อย่างต่อเนื่องภายใต้ภารกิจ “Cyber Wellness for THAIs” การดำเนินการของ AIS รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ การควบคุมระดับเสาสัญญาณมือถือในพื้นที่ชายแดน การร่วมปฏิบัติการกับตำรวจเพื่อปราบปรามมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์. นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมความปลอดภัย เช่น **บริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center และ บริการ 1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร โดย AIS ยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชนผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ และการสร้างตัวชี้วัดสุขภาวะด้านดิจิทัล


ความร่วมมือภายใต้ภารกิจ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ในครั้งนี้ เป็นการรวมพลังจากทุกภาคส่วน ภายใต้โมเดล “3 ประสาน” ได้แก่ 

1.เรียนรู้ (Educate): สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับเครือข่ายทั้ง Ecosystem เพื่อยับยั้งปัญหาตั้งแต่ต้นทาง.

2. ร่วมแรง (Collaborate):ผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม.

3. เร่งมือ (Motivate): รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎระเบียบ หรือกติกา เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม



สมชัย ย้ำด้วยว่าในด้านกฎหมายและมาตรการภาครัฐ AIS ยินดีปฏิบัติตามข้อกำหนดของ กสทช. เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม มีการกล่าวถึง พ.ร.ก. ที่ออกมาเมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีประกาศ กสทช. ตามมา คาดว่าหลักๆ จะเกี่ยวกับการลงทะเบียนผู้ส่ง SMS และการกำหนดให้ SMS ที่แนบลิงก์มา ต้องมา Register หากไม่ทำจะไม่สามารถแนบลิงก์ได้ ซึ่งจะเป็นการตัดช่องทางของมิจฉาชีพที่ใช้ SMS หลอกลวง นอกจากนี้ กฎหมายยังระบุถึงความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ (Operator) และธนาคาร โดยหากได้ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดอย่างครบถ้วนแล้ว อาจไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะผลักดันให้องค์กรต่างๆ กลับมาเข้มงวดในระบบและกระบวนการภายใน



ศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวในช่วงสัมภาษณ์ว่า "เป้าหมายร่วมกันของ AIS และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คือพยายามกดตัวเลข (การหลอกลวง) ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งเพราะมิจฉาชีพมีการปรับตัวอยู่เสมอ แนวทางการต่อสู้หลัก จุงเป็นการตัดช่องทางทำมาหากินของพวกเขาให้มากที่สุด รูปแบบการหลอกลวงมีความซับซ้อนขึ้น จากการใช้ซิมการ์ดปกติ ไปสู่การใช้ "ซิม Box", การแอบนำสถานีฐานเทียม (False Base Station) เข้ามา, การจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ, การใช้เน็ตคาเฟ่, การลากสายอินเทอร์เน็ตข้ามพรมแดน และสิ่งที่น่าจับตาในอนาคตคือการใช้ "เน็ตดาวเทียม" ซึ่งจะเป็นเรื่องยากต่อการติดตามหากมีการลักลอบนำเข้าและใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต" 

มาตรการเฉพาะที่ AIS และภาคส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการและเตรียมพร้อมรับมือ ได้แก่ การจัดการซิมการ์ดให้ยากขึ้นสำหรับมิจฉาชีพผ่านการควบคุมการจำหน่ายและการลงทะเบียน การจัดการสัญญาณโทรศัพท์โดยพยายามจำกัดการเข้าถึงในพื้นที่ที่ผู้ไม่หวังดีใช้ใกล้ชายแดน สำหรับอินเทอร์เน็ตบ้าน ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า ยังคงต้องระมัดระวังในกรณีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่ผู้ให้บริการต้องสามารถระบุตัวตนผู้ใช้งานได้, การลากสายอินเทอร์เน็ตข้ามพรมแดน ซึ่งมีการตัดสายที่ผิดกฎหมาย, และความเสี่ยงในอนาคตจาก เน็ตดาวเทียม ซึ่งต้องให้ความรู้ประชาชนว่าการใช้งานต้องได้รับอนุญาตในประเทศไทย


ทุกภาคส่วนเชื่อมั่นว่า เมื่อมีความรู้ ความเข้าใจ และจุดมุ่งหมายร่วมกัน จะนำไปสู่การสร้างสังคมดิจิทัลที่มีคุณภาพและปลอดภัยในทุกมิติ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เดินหน้าร่วมกันต่อไปเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของประชาชนคนไทยทุกคน การต่อสู้กับภัยไซเบอร์และการหลอกลวงออนไลน์เป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและไม่ง่ายที่จะทำให้เป็นศูนย์ได้ในทันที การดำเนินมาตรการทางเทคนิคและกฎหมายอย่างจริงจังและรวดเร็ว ภายใต้แนวคิด "เรียนรู้ ร่วม เร่งมือ" จะสามารถช่วยลดระดับความเสียหายและตัดช่องทางมิจฉาชีพลงให้ได้มากที่สุด

COMMENTS