ดีป้า เผยผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 ระบุอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0 พบส่วนใหญ่เริ่มนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซลูชันมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม แนะภาคอุตสาหกรรมไทยเร่งปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันภายในระยะเวลา 5 ปีจากนี้
การสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับ
การวางแผนพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ โดยดำเนินการสำรวจใน 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป
อุตสาหกรรมสิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
อุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์
อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ซึ่งดำเนินการสำรวจตามกรอบแนวทางดังกล่าวในปี
2563, 2564 และล่าสุดในปี 2567
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า ผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 พบว่า 70% ของกลุ่มตัวอย่างมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0: Solution (การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบบฟอร์มออนไลน์ หรือระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน) จากระดับ 1.0: Manual (การทำงานแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องมือ Analog และกระบวนการแบบ Manual เช่น โทรศัพท์ แฟกซ์ และการส่งเอกสารผ่านอีเมล) ในปี 2564 โดยส่วนใหญ่เริ่มนำเครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซลูชันมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมการผลิตแบ่งออกเป็น 5 ประเภทตามกระบวนการทำงาน ประกอบด้วย
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0 ซึ่ง 57% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้คำสั่งซื้อออนไลน์ โดยการเปิดเว็บไซต์เพื่อรับคำสั่งซื้อและการชำระเงิน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ออกแบบผลิตภัณฑ์) ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 90.67% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้โปรแกรมช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น Computer-Aided Design (CAD) หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยวาดภาพ 2D/3D และสร้างชิ้นส่วน เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการจัดการกระบวนการผลิต ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 87.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้เครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่เรียบง่าย เช่น การใช้ Computer Numerical Control (CNC) หรือเครื่องจักรกลแบบอัตโนมัติที่มีการทำงานด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบอัตโนมัติทั้งหมดหรือบางส่วน เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 70% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้อีเมลเพื่อติดต่อลูกค้า และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 69.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้ระบบสารสนเทศแบบแยกส่วนในบางแผนก/ฝ่าย
อย่างไรก็ตาม แม้ภาคอุตสาหกรรมเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล และให้ความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับ 4.0: Automation โดยมีแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สูงขึ้น มีการใช้ระบบอัตโนมัติ/ระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการและวางแผนมากขึ้น มีการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อใช้บริหารจัดการธุรกิจเพิ่มขึ้น และแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขยับตัวไปที่ระดับ 3.0: Platform มากขึ้น แต่ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างยังชี้ให้เห็นว่า การขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การขาดแคลนพนักงาน/แรงงานที่มีทักษะดิจิทัล การขาดแคลนเงินทุน และการที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดเล็กยังไม่เหมาะที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งหมดถือเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับที่สูงขึ้น
“ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขัน แม้ดัชนีความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมที่จัดโดย UNIDO แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังครองอันดับที่สาม รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่หากไม่เร่งยกระดับภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมภายในระยะเวลา 5 ปีจากนี้ ทั้งการพัฒนาทักษะบุคลากร และการส่งเสริมการทำ Digital Transformation โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ประเทศไทยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงในการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจจากผลิตภาพการผลิตสูงถึงกว่า 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี หรือ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
นอกจากนี้ ภายในงานแถลงผลสำรวจฯ
ดีป้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประกาศความร่วมมือ
การจัดทำข้อมูลเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของไทยอย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมจัดการเสวนาในหัวข้อ Data-driven
Industry: ผนึกกำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย โดยมี สุเมธ
ตั้งประเสริฐ กรรมการ รักษาการ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธีรทัศน์
อิศรางกูร ณ อยุธยา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อภิรดี ขาวเธียร
รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อมฤต ฟรานเซน
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.อุมา วิรัตน์สกุลชัย ผู้แทนสำนักงานภูมิภาค
UNIDO และ
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านการส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายผลทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการแถลงผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม ปี 2567 รวมถึงผลสำรวจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมดิจิทัลในมิติต่าง ๆ ที่ ดีป้า ดำเนินการได้ทาง www.depa.or.th/th/depakm/digital-indicators, LINE OA: depaThailand และ Facebook Page: depa Thailand
ผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม
การสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับ
การวางแผนพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ โดยดำเนินการสำรวจใน 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมสิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ซึ่งดำเนินการสำรวจตามกรอบแนวทางดังกล่าวในปี 2563, 2564 และล่าสุดในปี 2567
สำหรับผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม
ประจำปี 2567 พบว่า 70% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0:
Solution (การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบบฟอร์มออนไลน์
หรือระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน) จากระดับ 1.0: Manual (การทำงานแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องมือ
Analog และกระบวนการแบบ Manual เช่น โทรศัพท์ แฟกซ์ และการส่งเอกสารผ่านอีเมล) ในปี 2564 โดยส่วนใหญ่เริ่มนำเครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซลูชันมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมการผลิตแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ตามกระบวนการทำงาน ประกอบด้วย
1. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0 ซึ่ง 57% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้คำสั่งซื้อออนไลน์
โดยการเปิดเว็บไซต์เพื่อรับคำสั่งซื้อและการชำระเงิน ขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ รวมถึงยางและผลิตภัณฑ์ยาง
เริ่มใช้ระบบ ERP ในการบริหารคลังสินค้า
2. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ออกแบบผลิตภัณฑ์)
ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 90.67% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้โปรแกรมช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น Computer-Aided
Design (CAD) หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยวาดภาพ
2D/3D และสร้างชิ้นส่วน
ขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
เริ่มนำระบบจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น Product Data Management (PDM) และ Product Lifecycle Management (PLM) มาใช้ออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ กระดาษและการพิมพ์ รวมถึงยางและผลิตภัณฑ์ยาง
เริ่มนำ AI และ VR มาใช้จำลองหรือสร้างโลกเสมือนในรูปแบบสามมิติเพื่อช่วยออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์
3. เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการจัดการกระบวนการผลิต ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ
1.0 โดย 87.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้เครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่เรียบง่าย
เช่น การใช้ Computer Numerical Control (CNC) หรือเครื่องจักรกลแบบอัตโนมัติที่มีการทำงานด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบอัตโนมัติทั้งหมดหรือบางส่วน
เช่น การใช้หุ่นยนต์ หรือการใช้ Programmable Logic Controller (PLC) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตในเกือบทุกอุตสาหกรรม ยกเว้นอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์
รวมถึงอุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ นอกจากนี้ยังมีการนำระบบประมวลผลการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์
เช่น การใช้ Manufacturing Execution System (MES) หรือการใช้ Automated Guided Vehicle (AGV) มาใช้ในกระบวนการผลิต
ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์
4. เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 70%
ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้อีเมลเพื่อติดต่อลูกค้า และใช้ Customer
Relationship Management (CRM) มาช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์กับลูกค้า
ซึ่งทุกอุตสาหกรรมนำระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือ Customer Data
Analytics โดยการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า เช่น ข้อมูลการเข้าเว็บไซต์
ข้อมูลผลลัพธ์การโฆษณา ข้อมูลการใช้ Social Media ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวมาสร้าง
Big Data และนำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้าเพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์/บริการที่ตรงกับความต้องการ
ทั้งนี้มีบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ กระดาษและการพิมพ์
เริ่มใช้ระบบ AI ในการให้บริการลูกค้า เช่น Chatbot และระบบการตอบกลับอัตโนมัติไปยังข้อความใน Social Media
5. เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ
1.0 โดย 69.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้ระบบสารสนเทศแบบแยกส่วนในบางแผนก/ฝ่าย
เช่น การใช้ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ในการบริหารจัดการธุรกิจ นอกจากนี้ ในบางอุตสาหกรรม เช่น
ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์
เริ่มใช้ระบบสารสนเทศขั้นสูง เช่น การใช้ Business Intelligence Tools หรือซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวกับการเก็บรวมรวบข้อมูล ทั้งข้อมูลสารสนเทศ
ข้อมูลเทคโนโลยี ข้อมูลการตลาด และข้อมูลทางธุรกิจอื่น ๆ
เพื่อนำมาวิเคราะห์ธุรกิจในแต่ละด้าน และวางแผนการดำเนินงานล่วงหน้า ทั้งนี้
อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมีการใช้ระบบ AI เช่น
การทำ Big Data Analytics หรือการวิเคราะห์เซ็ตข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ของข้อมูลเหล่านั้น
เช่น การหาเทรนด์ทางการตลาด ความต้องการของลูกค้า และข้อมูลอื่น ๆ
ที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ