เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.25 น. ประเทศไทยรับรู้แรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถรู้สึกได้ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียง ภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที พฤติกรรมการสื่อสารของผู้ใช้งานบนเครือข่ายทรูและดีแทคเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยปริมาณการโทรออก (Voice Call) พุ่งสูงเฉลี่ยกว่า 5 เท่า ขณะเดียวกัน การใช้งานดาต้า (Data) ก็เปลี่ยนทิศทางอย่างเห็นได้ชัด
การโทรกลายเป็นช่องทางเร่งด่วนในการติดต่อระหว่างบุคคล ส่วนดาต้าถูกใช้เพื่อการสื่อสารอย่างมีเป้าหมาย ผ่านแอปอย่าง LINE Messenger และ X เพื่อติดต่อ ตอบกลับข้อความ และเช็กข้อมูลข่าวสาร สะท้อนพฤติกรรมของผู้ใช้งานในภาวะฉุกเฉินที่ต้องการติดต่อสื่อสารอย่างทันท่วงที
พฤติกรรมการใช้งานเครือข่ายในช่วงฉุกเฉิน
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ข้อมูลการใช้งานบนเครือข่ายทรูและดีแทคสะท้อนภาพชัดเจนถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานในช่วงเวลาฉุกเฉิน
ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
การใช้งานเสียง (Voice Usage)
·
ช่วงเวลา 13:30 –
13:45 น. เป็นช่วงที่ปริมาณการโทรบนเครือข่ายทรูและดีแทคเพิ่มขึ้นสูงที่สุด
เครือข่ายทรู
o ปริมาณการโทรออกเพิ่มขึ้นสูงสุด 465% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของวันที่ 27 มีนาคม 2568 (จาก 1.57 ล้านครั้ง
เป็น 8.89 ล้านครั้ง)
o จุดที่การโทรออกพุ่งขึ้นสูงสุดอยู่ที่เวลา 13:33 น. โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 299,000 ครั้ง หรือคิดเป็น 672% จากค่าปกติในช่วงเวลาดังกล่าว
เครือข่ายดีแทค
o ปริมาณการโทรออกเพิ่มขึ้นสูงสุด 545% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของวันที่ 27 มีนาคม 2568 (จาก 2.67 ล้านครั้ง
เป็น 17.23 ล้านครั้ง)
o จุดที่การโทรออกสูงที่สุดคือเวลา 13:32 น. เพิ่มขึ้น 300,000 ครั้ง หรือคิดเป็น 1,061% จากค่าปกติ
·
การโทรภายในเครือข่ายเดียวกัน เพิ่มขึ้น 65% ขณะที่การโทรข้ามเครือข่าย เพิ่มขึ้น 121%
· ปริมาณการโทรออกเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในชั่วโมงแรก แม้จะลดลงในช่วงเวลาต่อมา แต่ยังคงสูงกว่าปกติจนถึงเวลาเที่ยงคืน
ปริมาณการโทรออกเทียบเป็นรายภาค ในช่วงการโทรสูงสุด
เครือข่ายทรู จุดที่มีการโทรออกสูงที่สุดคือเวลา 13:33 น. โดยเรียงลำดับจากภาคที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ดังนี้
·
กรุงเทพมหานคร +1,171%
·
ภาคตะวันตก +618%
·
ภาคใต้ +455%
·
ภาคตะวันออก +426%
·
ภาคกลาง +285%
·
ภาคเหนือ +112%
·
ภาคอีสานตอนบน +82%
เครือข่ายดีแทค จุดที่มีการโทรออกสูงที่สุดคือเวลา
13:32 น. โดยเรียงลำดับจากภาคที่มีการเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ดังนี้
·
กรุงเทพมหานคร +1,983%
·
ภาคตะวันตก +1,054%
·
ภาคกลาง +822%
·
ภาคเหนือ +541%
·
ภาคตะวันออก +269%
·
ภาคใต้ +229%
·
ภาคอีสานตอนบน +103%
จากข้อมูลข้างต้น อาจสรุปได้ว่าในภาวะฉุกเฉิน ผู้ใช้งานมีแนวโน้มเลือกใช้ “การโทร”
(Voice Call) เป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสาร โดยปริมาณการโทรออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สะท้อนถึงบทบาทของการสื่อสารด้วยเสียงในภาวะฉุกเฉิน เพื่อยืนยันความปลอดภัยระหว่างบุคคลอย่างทันท่วงที
การใช้งานดาต้า (Data Usage)
·
พบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้งานดาต้าอย่างชัดเจนในช่วงเวลา
13:15 – 14:15 น. โดยช่วงเวลา 13:15–13:30 น. ปริมาณการใช้ดาต้าบนทั้งสองเครือข่ายลดลง สะท้อนการหยุดชะงักชั่วขณะจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
·
จากนั้นตั้งแต่ 14:00 – 19:00 น. การใช้งานดาต้ากลับมาสูงขึ้น มากกว่าค่าปกติ อย่างต่อเนื่อง
พฤติกรรมการใช้งาน 7 แอปพลิเคชันยอดนิยมในช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหว
เมื่อพิจารณาการใช้งานของ 7 แอปยอดนิยม (Facebook, Messenger, Instagram,
TikTok, YouTube, LINE, X) ในช่วงเวลา 13:15–14:15 น. พบว่าทั้ง ทรู และ ดีแทค มีแนวโน้มคล้ายกัน คือ:
สะท้อนว่าในภาวะฉุกเฉิน ผู้ใช้งานมุ่งไปที่การสื่อสารแบบทันที
และการตรวจสอบสถานการณ์
เครือข่าย True
เครือข่ายดีแทค
จากข้อมูลข้างต้น อาจสรุปได้ว่าในภาวะฉุกเฉิน ผู้ใช้งานมีแนวโน้มปรับพฤติกรรมไปใช้แอปที่เน้นการสื่อสาร มากกว่าการเปิดดูคอนเทนต์วิดีโอ เป็นการใช้ดาต้าโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อยืนยันความปลอดภัย รับรู้ข่าวสาร และติดต่อผู้คนในช่วงเวลาสำคัญ
เบื้องหลังคือการยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทีมงานเน็ตเวิร์กของทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินทันที ด้วยการตั้ง "วอร์รูม” ที่ BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ โดยใช้ AI ดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการระดมกำลังทีมงาน เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ประชาชนผู้ใช้งานเครือข่ายทุกคนจะใช้การสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด